เปลว สีเงิน
สมมติ “ชาวบ้าน” ไม่รู้ว่า…..
“อบจ.” คืออะไร และ “มีไว้ทำไม” เป็นเรื่องพอเข้าใจได้
แต่การที่ระดับ “พ่อนายกฯ” รวมทั้ง “ตัวนายกฯ” ก็ไม่รู้ นี่ซี อันตรายต่อการบริหารและปกครองประเทศมาก!
ยิ่งโอ้อวดว่าพรรคเพื่อไทยเป็น “ฝ่ายประชาธิปไตย” ขณะเดียวกัน แค่อ้าปากพ่นคำหาเสียง มันก็ประจานตัวเองแล้ว ว่า
ทั้งพ่อ-ทั้งลูก ไม่รู้ห่ะ…อะไรเลยจริงๆ…..
ว่าไหน การเมืองระดับชาติ ไหนการเมืองระดับท้องถิ่น?
อย่างนี้ก็น่าห่วงต่อการพัฒนาคนและสังคมอนาคตชาติ เมื่อบ้านเมืองตกอยู่ในมือ “คนโฉดเฉา”
แล้วผู้นำโฉดเฉา ก็เอาความไม่รู้อะไรเลยของตัวเองไปพูดให้ชาวบ้าน ซึ่งก็ไม่รู้อะไรมากนัก ฟังผ่านการหาเสียง
มันก็ไม่ต่าง “คนตาบอด” จูงมือ “คนตาบอด” ด้วยกัน หลงทางกระเซอะกระเซิงมาถึงริมผา
แล้ว “สองพ่อลูก” ตาบอด ก็ตะโกนขึ้นว่า…
“พวกเจ้าจงเดินตามเสียงข้าไป สวรรค์อยู่ข้างหน้านี้แล้ว
และนี่คือ “บอด-ใบ้” ตัวแทนที่ข้าสองพ่อลูกส่งมาให้พวกเจ้าเลือก
พวกเจ้าจงเลือกบอด-ใบ้คนนี้ เพื่อเป็นมือ-เป็นตีนให้ข้า
แล้วข้าสองพ่อลูกกับนายกฯ อบจ.ที่พวกเจ้าเลือก จะทำให้พวกเจ้ามีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี”
นี่ไม่ใช่ผมตั้งแง่เพื่อหวังโจมตีใส่ร้ายนายทักษิณ หรือนายกฯ แพทองธาร ต่อการที่เขาทั้งสองเดินสายหาเสียงให้ “นายกฯ อบจ.” ที่พรรคเพื่อไทยส่งลงสมัคร
หากแต่ “ความจริง” เป็นเช่นนั้น เกรงจะพากันเตลิดเข้ารก-เข้าพงไปทั้งบ้าน-ทั้งเมือง จำต้อง “ดึงหลัง” ยั้งกันไว้บ้างก่อนเตลิดเกินแก้
กกต.ก็ช่างกระไร ปล่อยให้พวกการเมืองมุ่งกินเมือง หาเสียงชนิด “เติมความโง่เข้าไปในความงมงายของชาวบ้าน” วันแล้ว-วันเล่าอยู่ได้?
ทำหน้าที่สื่อสารประชาสัมพันธ์ให้ชาวบ้านในแต่ละจังหวัดได้ “รู้-เข้าใจ” บ้าง หรือไม่ว่า “นายกฯ อบจ.” คืออะไร มีอำนาจหน้าที่อย่างไร?
มันใช่ตามที่ “ทักษิณ-แพทองธาร” หาเสียงซะที่ไหน “หน้ามือ” กับ “หลังเท้า” ชัดๆ ในด้านความจริงทางกฎหมาย
ผมจะยกที่ทักษิณหาพูดเสียงให้ผู้สมัครนายกฯ อบจ.เชียงราย ของพรรคเพื่อไทยวันก่อนมาให้ดูเป็นตัวอย่าง
แล้วใช้สามัญสำนึกตรองและตอบตัวเองซิว่า…..
นี่เลือกนายกฯ อบจ.ที่มีคุณสมบัติซื่อสัตย์-สุจริต และมีความสามารถเป็นที่ประจักษ์เพื่อให้พัฒนาจังหวัดของตน
หรือเลือกเพื่อ “ต้อนหมาเข้าคอก” ให้ไปเป็นมือ-เป็นตีนทักษิณ?
อ่านที่ทักษิณตะโกนบอกคนเชียงรายนี่เป็นหลักฐาน….
“เมื่อก่อนพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคใหญ่ มี สส. ๓๐๐ กว่าคน สมัยนี้ เหลือแค่ร้อยกว่าคน ทำให้ทำงานลำบาก
วันนี้ จึงต้องมาออกแรง เพื่อให้ได้ท้องถิ่นที่เป็นตัวแทนพรรคเพื่อไทย
เพราะการขับเคลื่อนนโยบายระดับประเทศให้ลงถึงมือประชาชนจริงๆ ต้องใช้มหาวิทยาลัย ใช้ อบจ.
ผมเองเตรียมพัฒนาทักษะของคนไทย ให้มีรายได้มากขึ้นมากกว่าค่าแรงขั้นต่ำ เลยต้องมี อบจ.ที่เป็นของพรรคเพื่อไทย
ฉะนั้น หวังว่าพี่น้องจะไว้ใจผมและเลือกผู้สมัครของพรรค มาเป็นลูกไม้ลูกมือของผม”
สมมติผมเป็นชาวบ้านเชียงราย ฟังทักษิณพูด ก็ร้องอ๋อ เลือกตั้ง “นายกฯ อบจ.”……..
นึกว่า เลือกเพื่อให้ไปทำหน้าที่พัฒนาจังหวัด ดูแลด้านการศึกษา สาธารณสุข การทำมาหากิน สาธารณูปโภคต่างๆ รวมทั้งดูแลสังคมท้องถิ่นซะอีก
ที่แท้….
ทักษิณบอก เลือกเพื่อเขาจะเอาท้องถิ่นเป็นตัวแทนพรรคเพื่อไทย “เพราะเขาต้องใช้ทั้งมหา’ลัย ทั้งอบจ.เป็นลูกมือ-ลูกตีนในการเมืองระดับชาติ”
คือก่อนๆ ใน “การเมืองระดับชาติ” เพื่อไทย มีสส.๓๐๐ กว่าเสียง เรียกว่าเหลือเฟือ ทักษิณจึงบอก “ไม่เคยสนใจการเมืองท้องถิ่น”
แต่ตอนนี้ “ระดับชาติ” เพื่อไทยเหลือสส.แค่ร้อยกว่าคน ตั้งรัฐบาลก็ไม่ได้ อาศัยที่พรรคส้มซ่า “นงเกี๊ยะ” เลยถูกพรรคเพื่อไทยซึ่งเล่ห์แพรวพราวกว่า “มคปด.”
ตัวเองอ้าง “กลับมาเลี้ยงหลาน”
พอได้กลับมาจริงๆ หลานไม่เลี้ยง หันไปเลี้ยงหมาและสาละวนกับการ “ต้อนหมาเข้าคอก”
นายกฯ อบจ.ที่เพื่อไทยส่ง ในทรรศนะทักษิณ ก็แค่ “หมาตัวหนึ่ง” ที่เขากำลังกวาดต้อนเข้าคอก เป็นการ “ยึดพื้นที่” ล่วงหน้า
ปูทางสู่เลือกตั้งสส.ครั้งหน้า อันเป็น “การเมืองระดับชาติ” ที่เขากะการณ์ว่า
“เพื่อไทยต้องได้ถล่มทลาย” สู่การเป็น “รัฐบาลพรรคเดียว” ยึดอำนาจประเทศ!
นี่คือการใช้เวทีเลือกตั้งนายกฯ อบจ.บังหน้า มอมเมาชาวบ้านให้เข้าใจสับสนในอำนาจหน้าที่บริหารและปกครองของการเมืองระดับชาติกับระดับท้องถิ่น
ไม่ต่างหมอให้ชาวบ้าน “กินยาผิดซอง” ซึ่งอันตรายอาจถึงชีวิต การหาเสียงบิดเบือน-หลอกลวง ก็อันตรายต่อสังคมชาติบ้านเมืองเช่นกัน!
เลือกตั้ง “นายกฯ อบจ.” ๑ กุมภา.
ไม่รู้ว่า แต่ละพรรค คัด “คนใบ้” มาสมัครหรืออย่างไร?
เพราะไม่เคยได้ยินผู้สมัครรายไหนพูดถึงท้องถิ่นตัวเองว่ามีปัญหาตรงไหน ตัวเองมีนโยบายอะไร เข้าไปแล้ว จะแก้-จะทำให้สังคมท้องถิ่นดีขึ้น
เห็นแต่ยืนเป็นไบ้-เป็นเสาไฟฟ้าให้ทักษิณมั่ง นายกฯ มั่ง คร่อกหน้าไมค์
เอาการเมืองระดับชาติตะโกนให้ชาวบ้านเข้าใจผิดว่าเป็นอำนาจหน้าที่นายกฯ อบจ.ทำได้ เช่น
-ใช้งบอีก ๓๐,๐๐๐ ล้าน แจกอีกคนละ ๑๐,๐๐๐ บาทวันที่ ๒๙ มกรา.
-ปี ๖๘ ปรับพื้นฐาน ปี ๖๙ ปีที่ประชาชนเริ่มฝันได้ อยากหาเงินตรงไหน อยากหาเงิน จับอะไรก็เป็นเงิน เป็นทอง แล้วปี ๗๐ เงินจะเต็มกระเป๋า
-ยาเสพติด แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ในปี ๖๘ จะจัดการให้เรียบ
-พนันออนไลน์ จะเอาขึ้นมาบนดิน
เนี่ย…มันอยู่ในขอบเขตอำนาจการเมืองท้องถิ่นทำได้ซะที่ไหน กกต.ก็ “แก้กางเกงเกาตูด” อยู่ได้ ปล่อยให้ทำสับสน-ไขว้เขวไปหมด!
การเมืองระบอบประชาธิปไตย แทนที่จะพัฒนาสติปัญญาประชาชน กลับตรงกันข้าม
“ทำให้ประชาชนโง่เข้าไว้ ง่ายต่อการหลอกใช้ของนักเลือกตั้งกังฉิน”
แล้วเมื่อไหร่ “ชาติ-ประชาชน” จะได้ขึ้นจากหล่มที่จมปลักกันซะทีล่ะแบบนี้!?
เอ้า………
ดู “ทักษิณ-พ่อปู” แล้ว ทีนี้มาดูนายกฯ “อุ๊งอิ๊ง-ลูกปู” เจริญตามรอยตีนพ่อบ้าง
เมื่อวานไปหาเสียงให้ผู้สมัคร “นายกฯ อบจ.” ที่นครพม
“สวัสดีค่า สวัสดีพ่อแม่พี่น้องทุกคนเด้อ สบายดีบ่ กินข้าวหรือยัง คิดฮอดกันบ่”
ท่อนนี้เป็น “ท่อนครู” ใช้หากินทุกเวทีอีสาน อ่านไอแพ่ดเสียฟอร์ม ต้องท่องจำ…..
“……….วันนี้ดีใจอย่างมาก ปีใหม่ได้มานครพนมจังหวัดแรก ตั้งแต่เดินเข้ามาได้รับการต้อนรับอย่างดี พรุ่งนี้วันจันทร์กลับไปมีกำลังใจจากพี่น้องนครพนมแน่นอน
วันนี้อยากฝากนายอนุชิต เพราะทำงานหนักเป็นคนนครพนมอย่างแท้จริง เข้าใจปัญหาของนครพนมอย่างแท้จริง
นายอนุชิตเป็นคนนครพนมแท้ๆ และมีดีเอ็นเอ เพื่อไทยแท้ๆ มาทีไรช่วยเหลือประชาชนเต็มที่ ปัญหายาเสพติดต้องหมดไป
พรรคเพื่อไทยมาทีไร ใครจนอยู่ต้องรวยแน่นอน วันนี้ปัญหายาเสพติดหนักหน่วง ลูกหลานไปยุ่งเกี่ยวกับยาบ้า ที่ราคาถูกและเข้าถึงลูกหลานง่าย
นายอนุชิต บอกว่า “จะเอาคนติดยามาบำบัดเรียนรู้อาชีพให้กลับเข้าไปอยู่ในสังคม”
เพราะคนที่มีปัญหายาเสพติด ไม่ใช่คนไม่ดี เพียงแต่อาจมีปัญหา เราพร้อมรับเขากลับมาหลังผ่านการบำบัดแล้ว เป็นสิ่งที่นายอนุชิตจะทำ……….”
นายกฯ อุ๊งอิ้ง จะสวมปลอกคอเพื่อไทยให้ผู้สมัครก็สวมไป
แต่ที่บอก “พรรคเพื่อไทยมาทีไร ใครจนอยู่ต้องรวยแน่นอน” นี่นอกจากหลอกลวงแล้ว ถือเป็นสัญญาว่าจะให้เกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ชัดๆ
เลือกนายอนุชิตแล้ว “ยาเสพติดจะหมดไป” แน่นะ อุ๊งอิ๊ง?
อนุโลมว่าเรื่องยาเสพติดอยู่ในกรอบอำนาจ-หน้าที่ด้านสังคมที่ “นายกฯ อบจ.” ต้องทำก็แล้วกัน
แล้วทั้งตัวผู้พูดคือนายกฯ และนายอนุชิต ผู้สมัครที่ยืนเป็นเสาไฟอยู่ข้างๆ โดยไม่ปฎิเสธใดๆ นี่ก็ต้องรู้นะ
ว่าถึงตัวผู้สมัครไม่ได้พูด ก็เท่ากับพูดตามกฎหมาย!
ช่วงนี้ เห็น ๒ พรรคแดง-ส้ม จัดทีมเดินสายหาเสียงช่วยผู้สมัคร “นายกฯ อบจ.” กันยังกะขายยาหนังเร่
ทำเอางง เพราะยากแยก ระหว่างคนยืนอมสากกับคนยืนโม้หน้าไมค์ ว่าคนไหนเป็นผู้สมัครกันแน่?
ทุกวันนี้ การเมืองไทยเป็น “การเมืองนอมินี” เต็มตัวทุกระบบไปแล้ว ตั้งแต่นายกรัฐมนตรี ยันอบจ.
ไม่เห็นหัวชาวบ้าน ก็ไม่เป็นไร
แต่ “เห็น ๗ หัวกกต.” เขาหน่อยปะไร เดี๋ยวเขาจะกลายเป็นองค์กรอิสระ “หัวตอ”!
เปลว สีเงิน
๑๓ มกราคม ๒๕๖๘