ผักกาดหอม
อ้าว….
มีคนไปร้องกับ กกต.แล้วครับ
“ทักษิณ ชินวัตร” ครอบงำพรรคเพื่อไทย
คำร้องบางส่วนคือถ้อยความที่ปรากฏในคำร้องของ ๔๐ สว. และคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่ให้ “เศรษฐา ทวีสิน” พ้นนายกรัฐมนตรี ปมแต่งตั้ง “พิชิต ชื่นบาน” เป็นรัฐมนตรี ชี้ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง มีลักษณะต้องห้าม
“…จากหลักฐานคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญอันควรเชื่อได้ว่า พรรคเพื่อไทยยินยอมให้บุคคลที่ไม่ใช่สมาชิกชี้นำกิจกรรมของพรรค ประกอบกับพฤติการณ์ของแกนนำพรรคเพื่อไทยซึ่งแสดงออกในหลายเหตุการณ์ถึงการให้การยกย่อง ให้ความสำคัญ ให้ความใกล้ชิด ให้การต้อนรับ และการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงการยอมรับการชี้นำจากนายทักษิณ ชินวัตร
รวมทั้งการนำวิดีโอที่นายทักษิณ ชินวัตร ชี้นำแนวทางไม่ให้พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคการเมืองแนวอนุรักษนิยมใหม่ และชี้นำการปฏิบัติตนของสมาชิกพรรคเพื่อไทย มาเปิดในที่ประชุมใหญ่สามัญประจำปี ๒๕๖๗ ภายใต้การรู้เห็นของคณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย
จึงแสดงว่าพรรคเพื่อไทยยินยอมให้บุคคลอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกกระทำการอันเป็นการชี้นำกิจกรรมของพรรคเพื่อไทย ในลักษณะที่ทำให้สมาชิกและคณะกรรมการบริหารพรรคขาดความอิสระ และนายทักษิณ ชินวัตร มีการกระทำที่เป็นการชี้นำพรรคเพื่อไทยและสมาชิก อันเป็นการกระทำที่ขัดต่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๒๘ และมาตรา ๒๙ อันทำให้การใช้เสรีภาพในการจัดตั้งพรรคการเมืองไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๔๕ วรรคหนึ่งและวรรคสอง
โดยการที่พรรคเพื่อไทยฝ่าฝืน มาตรา ๒๘ จะเป็นเหตุให้คณะกรรมการการเลือกตั้งยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อสั่งยุบพรรคเพื่อไทย ตามมาตรา ๙๒ วรรคหนึ่ง (๓)
และการที่นายทักษิณ ชินวัตร ฝ่าฝืน มาตรา ๒๙ จะมีโทษตามมาตรา ๑๐๘ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญเดียวกัน
และเป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้งที่จะยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยได้ทันทีโดยไม่ต้องสอบสวน เนื่องจากมีหลักฐานอันควรเชื่อได้จากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ตามแนวคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ เรื่องพิจารณาที่ ๑๐/๒๕๖๗ กรณีคณะกรรมการการเลือกตั้งขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยเพื่อมีคำสั่งยุบพรรคก้าวไกล…”
หาก กกต.มีมติส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญ จะกลายเป็นคดีใหญ่มาก
มาตรา ๑๐๘ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๒๙ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้นั้น
หาก “ทักษิณ” ผิด คุกถึง ๑๐ ปีเชียวครับ
พรรคเพื่อไทยก็ไม่รอด
แต่…ไม่น่าจะมีคำร้องเดียวจากการณ์เดียว
เพราะ “ทักษิณ” ยังคงแสดงบทบาทครอบงำอย่างต่อเนื่อง โดยการอยู่เบื้องหลังการตั้งรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร
บางกรณีเป็นหลักฐานจากปาก “ทักษิณ” เอง
เช่น ในงาน “Vision For Thailand” เมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ที่ผ่านมา “ทักษิณ” พูดถึง “ลุงป้อม” ว่า “ก่อนมาโทร.คุยผ่านคนอื่น แล้วก็ส่งสายให้ คุยกันสั้นๆ ตอนนี้เรื่องที่จะร่วมรัฐบาลกันมั่ง…”
ก็คงก่อนจะกลับไทย ได้คุยกับ “ลุงป้อม” เรื่องตั้งรัฐบาลเศรษฐา
แบบนี้คือการครอบงำหรือไม่
ถ้าครอบงำ ครอบงำพรรคอะไรบ้าง
เหตุการณ์นี้มี ๒ พรรค
คือพรรคเพื่อไทย และพรรคพลังประชารัฐ
ในวันที่ ๑๔ สิงหาคม ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติ ๕ ต่อ ๔ วินิจฉัยว่าความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ
ส่งผลให้นายกฯ เศรษฐาพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และทำให้คณะรัฐมนตรีต้องพ้นตำแหน่งตามไปด้วยทั้งคณะนั้น
เย็นวันเดียวกันมีข่าวว่อนทุกสำนักว่า “ทักษิณ” โทรศัพท์เรียกแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคเข้าหารือด่วนที่บ้านจันทร์ส่องหล้า
จะอ้างว่าไปกินข้าวเฉยๆ ก็ได้ครับ
แต่จะมีใครเชื่อบ้าง
แกนนำพรรคการเมืองที่เข้าบ้านจันทร์ส่องหล้ามีพรรคไหนบ้าง
เสี่ยงถูกยุบพรรคเรียบ!
ถ้าคิดว่าเป็นไปไม่ได้ ก็ควรกลับไปอ่านถ้อยความที่ปรากฏในคำวินิจฉัยถอดถอนนายกฯ เศรษฐาอีกรอบ
“…ข้อที่ผู้ร้องกล่าวอ้างว่า ผู้ถูกร้องที่ ๑ มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง อันเป็นลักษณะต้องห้าม ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๖๐ (๕) โดยกล่าวหาว่า ผู้ถูกร้องที่ ๑ เข้าพบ ‘บุคคล’ ซึ่งผู้ถูกร้องที่ ๒ เป็นหัวหน้าทนายความประจำตัว จึงเป็นมูลเหตุจูงใจทำให้ผู้ถูกร้องที่ ๑ ต้องการเอื้อประโยชน์ให้แก่ ‘บุคคล’ ดังกล่าว และหลังจากผู้ถูกร้องที่ ๑ เข้าพบ ‘บุคคล’ ดังกล่าวแล้ว ผู้ถูกร้องที่ ๑ นำความกราบบังคมทูลเพื่อเสนอแต่งตั้งผู้ถูกร้องที่ ๒ เป็นรัฐมนตรี ทั้งที่เคยถอนชื่อ หรือขอให้ผู้ถูกร้องที่ ๒ ถอนชื่อจากบัญชีเสนอแต่งตั้งรัฐมนตรี ในการเสนอแต่งตั้งรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๖๖
เป็นพฤติการณ์แสดงให้เห็นว่า ผู้ถูกร้องที่ ๑ ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง รวมทั้งรู้เห็นยินยอมให้ผู้ถูกร้องที่ ๒ หรือ ‘ผู้อื่น’ ใช้อำนาจหน้าที่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องที่ ๑ เพื่อให้ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีโดยมิชอบ…..”
“บุคคล” ที่ว่าคือ “ทักษิณ ชินวัตร”
ฉะนั้นเมื่อคำร้องถอดถอนนายกฯ เศรษฐา มีการระบุถึงการแทรกแซงของ “ทักษิณ” และศาลนำมาเป็นส่วนหนึ่งของคำวินิจฉัย ก็สามารถร้องต่อเป็นคดีแทรกแซงครอบงำ
การแทรกแซงครอบงำ ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งเดียว เกิดขึ้นตั้งแต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่บรรดามุ้งการเมืองขี่เครื่องบินไปหา “ทักษิณ” ที่ดูไบ สิงคโปร์บ้าง ฮ่องกงบ้าง ก่อนการตั้งรัฐบาลแล้ว
และในข้อเท็จจริง “ทักษิณ” แสดงบทบาทอย่างโจ่งแจ้งในการครอบงำการจัดตั้งรัฐบาลแพทองธาร
ไม่แน่อาจมีคนได้ขึ้นไปนอนห้องวีวีไอพีชั้น ๑๔ โรงพยาบาลตำรวจอีกครั้ง
คราวนี้นานหน่อย อาจถึง ๑๐ ปี