สันต์ สะตอแมน
#เราทำหนังไทย..
ปล่อยพวกเราไปเถอะครับ พวกเราก็แค่อยากทำหนัง ให้มันเต็มความสามารถของเราเท่านั้น
ถ้าท่านไม่สนับสนุน ก็อย่ากักขังพวกเราไว้ด้วยกฎเกณฑ์ที่ล้า สมัยมากแบบนี้อีกต่อไปเลย
คืนอิสรภาพทางความคิดของเรามาเถอะนะ #พวกเราต้องย่ำอยู่กับที่มานานแค่ไหนแล้ว #เกือบสามสิบปีที่ทำหนัง”
นี่..คือข้อความที่คุณอุ๋ย-นนทรีย์ นิมิบุตร อดีตนายกสมาคมผู้กำกับฯที่ได้โพสต์เมื่อวันก่อน ซึ่งอ่านแล้วก็คงจะรู้สึกคล้ายๆกัน..
เห็นใจ-สงสารคนทำหนัง พร้อมกับประณามด่าหน่วยงานรัฐ ล้าหลัง โบราณคร่ำครึ คอยแต่จะปิดกั้นไม่ให้หนังไทยได้พัฒนา!
แต่จะจริงอย่างที่คุณอุ๋ยเรียกร้องหรือไม่นั้น ผมไม่แน่ใจ เพราะจากที่ได้คลุกคลีอยู่กับผู้คนในแวดวงหนังไทยมาหลายปี
ทั้งยังมีโอกาสได้ร่วมเป็นคณะกรรมการตรวจพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์มา 8-9 ปี บอกตามตรง ผมไม่ได้มีความรู้สึกว่า..หนังไทยถูกกักขังแต่อย่างใด!
ถามผู้กำกับรุ่นเก๋า คุณมานพ อุดมเดช ถึงกรณีนี้ ก็ได้คำตอบ.. “ก็มีถ้าเกี่ยวข้องกับความมั่นคง สมัยที่กองเซ็นเซอร์ขึ้นกับกระทรวงมหาดไทย มีตำรวจทำหน้าที่ตรวจพิจารณา
แต่หลังจากรัฐบาลพล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ก็ได้ปลดล็อคการควบคุมสื่อ การคุมเข้มหนังไทยก็ค่อยๆผ่อนคลายความเข้มลง
แต่ยังมีบ้าง ถ้ามีหนังเกี่ยวข้องกับการเมือง การศาสนา อย่างหนังผมเรื่องสวยซามูไร คณะโต๊ะครูจากสุเหร่าแถวฝั่งธนฯ ถูกเชิญให้มาตรวจดูทั้งเรื่อง เขาผ่านหมดเลยนะ ไม่ติดใจ
แถมชมอีกว่า คนเขียนบทเป็นมุสลิมเหรอ? บอกว่าเปล่าครับ ผมเขียนเอง โต๊ะครูยังทึ่ง ไม่มีตรงไหนขัดหลักศาสนาอิสลามเลย
แม้แต่ฉากผู้ร้ายยิงตัวละครตัวหนึ่งทางด้านหลังขณะที่กำลังละหมาด ซึ่งกรรมการพิจารณาฝ่ายไทยนี่แหละต้องการให้ตัด อ้างเกรงกระทบชาวมุสลิม
แต่โต๊ะครูว่า โจรถ้ามันจะยิง ละหมาดในมัสยิดมันยังเข้าไปยิง ไม่ดูข่าวเหรอ? โต๊ะครูบอก ผมทะเลาะกับฝ่ายไทยเราเองนี่แหละ
พอโอนมาขึ้นกับกระทรวงวัฒนธรรมแล้ว ผมก็ไม่เคยได้ยินว่า หนังของใครโดนควบคุม หรือมีก็ไม่ทราบได้ เพราะระยะหลังผมก็อยู่ห่างๆ
อย่างไรก็ตาม เท่าที่ดูจะอิสระมากกว่ายุคที่ผมเริ่มทำหนังและมีตำรวจเซ็นเซอร์”
ครับ..ก็ไม่ใช่เห็นค้านหรือเห็นแย้งกับเสียงเรียกร้องของคุณอุ๋ย เพียงแต่เป็นการเสนอมุมมองจากผู้มีประสบการณ์ และทำงานหนังมาตั้งแต่อดีต
ก็..เอาล่ะ เมื่อคุณอุ๋ยที่นานๆจะมีปาก-มีเสียงกับเขาเรียกร้องออกมาอย่างนี้ หน่วยงานที่ดูแล-รับผิดชอบหนังไทยเห็นควรรับไว้ใคร่ครวญไว้หน่อยก็ดี
ว่าแต่ คุณนนทรีย์ลืมหรือไม่รู้ ตอนนี้กระทรวงวัฒนธรรมได้ยกร่างพรบ.ภาพยนตร์ฉบับใหม่แล้วเสร็จ และกำลังอยู่ระหว่างการทำประชาพิจารณ์อยู่นะ!
งั้นขออนุญาตนำข่าวเก่ามาย้ำ.. “นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า
กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาชน
ได้จัดทำร่าง พ.ร.บ.ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ.ฉบับใหม่ ภายใต้ร่างพระราชบัญญัติภาพยนตร์ พ.ศ. ….
แนวความคิดการให้เสรีภาพแก่บุคคลเพื่อการแสดงออกเป็นพื้นฐานของการพัฒนาและเป็นบ่อเกิดนวัตกรรมในสังคม ซึ่งมีทั้งหมด ๗ หมวด ๑๑๒ มาตรา
ซึ่งจะนำมาใช้แทน พ.ร.บ.ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ.๒๕๕๑ เพื่อให้มีเนื้อหาสาระที่สอดคล้องกับสภาวการณ์ปัจจุบันและแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงในอนาคต
โดยจะมุ่งเน้นการส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ และลดบทบาทการกำกับดูแลของรัฐลง เพื่อให้มีการปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำกับดูแลการ
หรือแนวทางการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่ดียิ่งขึ้น
โดยสาระสำคัญของร่างกฎหมายดังกล่าว เน้นส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย ให้มีศักยภาพที่แข่งขันได้ตลาดโลก..”
ได้อิสรภาพแล้ว หวังว่าหนังไทยจะไปโลดนะ!