นายกฯบอกเมื่อวาน………
“เรื่องการถวายสัตย์ ผมไม่ตอบแล้ว”
ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น!
เพราะพูดอะไรไปคำ เหมือนสาดรำข้าวลงในบ่อปลา จะตอดคนละหนุบ-ละหนับไปขยายความเสริมเจตนาแต่ละคน
ที่หวังดี ก็เสริมไปในทางดี
ที่หวังร้าย ก็ทะลวงไปทางร้าย
ฉะนั้น ในกรณีนี้ “นิ่งเสียตำลึงทอง” เพราะการ “ถวายสัตย์ปฏิญาน” เมื่อกระทำเฉพาะพระพักตร์ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ครบถ้วนแล้ว
ทุกอย่าง อยู่ในพระราชอำนาจ สุดแต่จะทรงมีพระบรมราชวินิจฉัย
พูดถึงรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ฝ่ายค้านประกาศ “ไม่รับ” มาตลอด วางตำแหน่งเป็น “รัฐธรรมนูญรอฉีก”
แต่พอเห็นช่องจะได้ประโยชน์ทางโค่นล้มนายกฯ ประยุทธ์ จากบางบรรทัดในรัฐธรรมนูญเท่านั้นแหละ
โอ้โฮ้…แทบจะแย่งกันเอาพานรัฐธรรมนูญฝังไว้บนหัว อย่างนั้นเลย!
ตั้ง ๗ พรรคฝ่ายค้านเป็น “๗ องครักษ์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ ฉบับปราบโกง” อีกตำแหน่งดีมั้ย?
ทำหมวกอัศวิน แล้วเชิญ “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์” มาลูบหัวทีละคน …สู้เพื่อพ่อนะลูก แล้วสวมให้
วันนี้ (๑๔ สค.๖๓) ประชุมสภา เห็นฝ่ายค้านออกข่าวเตรียมกระทู้เรื่องถวายสัตย์ฯ ไว้รอเสียบนายกฯ
ท่านคงน้อมสนองหรอก รู้ว่าฝ่ายค้านชอบแบบไหน วันนี้ ท่านก็คงจัดให้แบบนั้น
ชอบแบบนายกฯ ยิ่งลักษณ์ใช่มั้ย?
ประชุมสภาวันไหน เป็นต้อง ว.๕ วันนั้น
ดังนั้น วันนี้ นายกฯ ก็คงมีภารกิจ ว.๕ แบบเดียวกับนายกฯ ในดวงใจของชายกระโปรงทั้ง ๗ นั่นแหละ!
ฝ่ายค้านชุดนี้ มีภารกิจอยู่ ๒ อย่างเท่านั้น
-จ้องล้มรัฐบาล ในทุกวิธีการและรูปแบบ
-จ้องฉีกรัฐธรรมนูญ ในทุกวิธีการและสถานการณ์
ปัญหาบ้านเมืองตอนนี้ ท่ามกลางสงครามเศรษฐกิจ-การเมือง-การเงิน
แทนที่สส.ใน “ระบบรัฐสภา” จะหันหน้าช่วยกันเสนอแนะ-ติติง หาทางออกและทางไปให้ประเทศชาติและประชาชนบ้าง
แต่นี่…ไม่เลย
พวกกูจะหาทางล้มรัฐบาล เพื่อสร้างทางกลับของคน ๒ คน ที่ชื่อ “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์” ตะพึด-ตะพือ
ทำไก๋เป็นพระเอกประชาธิปไตยซะด้วยนะ อ้างพวกกูจะสร้างสังคมใหม่ สังคมเสมอภาค ที่แม่ไอ้ตี๋คนเดียวเท่านั้นรวยได้ ถือว่าเสมอภาค
แต่ถ้าพ่อค้า-นักธุรกิจคนอื่นๆ รวย มันคือพวกกลุ่มทุน ที่สร้างสังคมเหลื่อมล้ำ?!
กับพวกเถื่อน “อ้างใหม่” เอะอะก็อ้างเสรีภาพ การพูดอะไรด้วยเหตุ-ด้วยผล มันก็ป่วยการ
เมื่อมันมาด้วยเสรีภาพ ก็ต้องไปด้วยเสรีภาพ สไตล์เดียวกัน มันถึงจะต้องรสนิยมกัน
อย่างกรณี “ถวายสัตย์” ที่ฝ่ายค้านจับเป็น “จุดตาย”
แล้วกระยื้อกระแหย่ง เฮละโลรุมทะลวงแทงกันยกใหญ่นั้น
ถ้าด้วยสัตย์-ด้วยซื่อในเจตนา มีคำถามอะไร นายกฯ ท่านก็คงตอบเป็นข้อมูลประกอบวินิจฉัยให้ทราบกันได้
แต่นี่ ไม่ได้มุ่งหวังกระจ่างในทางแก้ไข มุ่งร้ายในทางเดียว
ดังนั้น พูดจาอะไรไป….
ดีก็จะถูกแปลงเป็นร้าย สู้ไม่พูดเสียเลยจะเป็นประโยชน์กว่า
รัฐบาลถ้ามัวเป็น “ล้อจมเลน” อยู่ร่ำไป ไม่ตะลุยไปข้างหน้า รังแต่จะติดเชื้อหมาบ้า
ปัญหาบ้านเมืองทั้งเฉพาะหน้าและอนาคตที่คารา-คาซัง ดูซิ…ตั้งแต่เป็นรัฐบาลเลือกตั้ง มี ๒ อย่างเท่านั้น
ไม่หยุดอยู่กับที่
ก็….ถอยหลัง!
ถอยหลังที่กำลังจับตากัน เรื่องขยายอายุรถตู้โดยสารสาธารณะ จาก ๑๐ ปี ออกไปเป็น ๑๒ ปี นั่นปะไร
เมื่อครบกำหนด ก็เปิดทางเลือกให้เปลี่ยนจากรถตู้ เป็นรถโดยสารมินิบัส “แบบสมัครใจ”
แบบสมัครใจ ศัพท์อังกฤษ คือ under the table หมายถึง “ไม่ต้องเปลี่ยน”
มันคือการถอยหลังลงเหวด้วยประชาธิปไตยเลือกตั้งเห็นๆ!
พูดถึงเรื่องเสรีภาพ….
คำนี้ มันเป็นคำ “ครอบจักรวาล” เหมือนยาหม่อง ใช้ได้ทุกโรค อยากชุมนุม ก็อ้างเสรีภาพ อยากพูดอะไร ก็อ้างเสรีภาพ
ตอนนี้ “รัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลฯ” จะแก้ปัญหาเฟคนิวส์ ตั้งศูนย์จัดการข่าวปล่อย-ข่าวปลอม
ทุกคนก็ว่าดี…
เพราะยุคไอที “สื่ออินเทอร์เน็ต” กลายเป็นตลาดนัด “ข่าวปล่อย-ข่าวปลอม” ของพวกการเมืองเฟคๆ จนดูสับสนกันไปหมด
จับได้ไล่ทัน ก็…สิทธิเสรีภาพนี่ครับ
วันก่อน พลเอกอภิรักษ์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ.ให้สัมภาษณ์รอยเตอร์ อย่างที่ทราบกันไปแล้ว
แกนๆ พรรคอนาคตใหม่ อย่างปิยบุตร พลโทพงศกร รอดชมภู ก็ออกมาใช้สิทธิเสรีภาพโต้ไปแล้ว
เมื่อวาน (๑๔ สค.) ถึงคิวนางเอก “พรรณิการ์ วานิช” แอกชั่นบ้าง
“……….สิ่งที่เราอยากเห็นคือการให้ทหารทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเข้มแข็งและมีประสิทธิภาพ เป็นกองทัพที่ไม่ยุ่งเกี่ยวการเมือง และหันไปพัฒนาศักยภาพของตัวเอง
แต่สิ่งที่พลเอกอภิรัชต์ กำลังทำอยู่ ปฏิเสธไม่ได้ว่ากำลังเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมือง
โดยสภาวะปกติที่รัฐบาลพลเรือนอยู่เหนือกองทัพ เป็นเรื่องที่ควรจะเป็น และผบ.ทบ.ไม่มีสิทธิออกความเห็นทางการเมือง
โดยเฉพาะประเด็นทางการเมืองที่ชี้เฉพาะไปที่พรรคการเมืองใดการเมืองหนึ่ง
ถ้าดูย้อนกลับไปในอดีต จะพบว่าแนวคิดของพลเอกอภิรัชต์ มีความคล้ายกับแนวคิดของผบ.ทบ.ช่วงก่อนเกิดเหตุการณ์ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ มาก
ทั้งเพลงปลุกใจ และการโฆษณาชวนเชื่อ ว่านักศึกษา และคนรุ่นใหม่ในยุคนั้น มีแนวคิดอันตราย ไม่เป็นไทย และเป็นอันตรายกับสถาบันหลักของประเทศ
อยากบอกว่า สิ่งที่พลเอกอภิรัชต์พูด เป็นสิ่งที่อันตรายมาก”
ขอถาม ๒-๓ คำนะ พรรณิการ์ “เสรีภาพ” นี่ มันผูกขาดสำหรับพวกตะแบงชาติใช้เท่านั้นหรือ?
คนอื่นๆ เช่น ผบ.ทบ.ไม่มีสิทธิพูด-ไม่มีสิทธิออกความเห็นอะไรเลยหรือ?
ยุคเผด็จการทหาร พวกดอกประชาธิปไตย อ้างไม่มีเสรีภาพ แต่ชุมนุมด่าทหารได้ทุกวัน ทหารไม่ว่าอะไร
ยุคประชาธิปไตยเลือกตั้ง เสรีภาพบานฉ่ำ ก็ยังจิกกระบานด่าทหารได้เหมือนเดิม ทหารไม่ว่าอะไร
แต่พอทหารพูดอะไรบ้าง ออกความเห็นอะไรบ้าง พวกอ้างประชาธิปไตยอย่างอนาคตใหม่ กลับว่า
“ผบ.ทบ.ไม่มีสิทธิออกความเห็นทางการเมือง?”
นี่อย่างละนะ……..
และที่เธอพูด แนวคิดพลเอกอภิรัชต์ คล้ายแนวคิดของผบ.ทบ.ช่วงก่อนเกิดเหตุการณ์ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ มาก นั้น
ถามอีกคำ…..
เธอเกิดแล้วหรือ ตอนนั้น?
ที่ถาม ไม่ใช่เอาเรื่องอายุมาเบรก แต่หมายถึงว่า เธอเอา ๖ ตุลา.มาโยงแบบไร้เดียงสา
เพราะเงื่อนไข ๖ ตุลา.กับบ้านเมืองตอนนี้ มันไม่มีอะไรเหมือนกันเลยทั้งคนละเงื่อนไขด้วยประการทั้งปวง
แบบนี้ถือเป็นการฉกฉวยคำ ๖ ตุลา.มาใช้ เพื่อลากบางฉากเข้ามาสร้างกระแสกลมกลืนให้ “คนรุ่นใหม่” อันเป็นเป้าหมายการเมืองของอนาคตใหม่ หลงเข้าใจในตุ๊กตาการเมืองที่กำลังปั้น อย่างนั้นใช่ไหม?
ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่า ที่พรรณิการ์พูด รู้หรือเปล่าว่า ตอนนั้น ใครเป็นผบ.ทบ.?
ที่พลเอกอภิรักษ์ให้สัมภาษณ์ ท่านห่วงคนรุ่นใหม่จะตกเป็นเหยื่อข่าวลวง-ข่าวปล่อย
คือท่านอยากให้ป้องกันข่าวประเภทนี้ เพื่อเซฟรุ่นใหม่ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อจากนักการเมืองฉกฉวย
ต้นเหตุและองค์ประกอบ มันคนละเรื่อง-คนละประเด็นกับ ๖ ตุลา.อันเป็นเรื่องของนักศึกษากับอุดมการณ์ในยุคนั้น
“ข่าวเฟค”ก็ว่าน่าห่วง
แต่ “ข่าวมั่ว” ดูจะน่าห่วงไม่แพ้กัน.