ถ้าบ้านเมือง “ไม่มีทหาร” #เปลวสีเงิน

เปลว สีเงิน

“พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว” และ “สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ” พระบรมราชินี เสด็จฯถวาย “ผ้าพระกฐิน”
โดย “ขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เมื่อวาน (๒๗ ตุลา.๖๗) ณ วัดอรุณราชวราราม
ในโอกาสพระราชพิธี “มหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา” ๖ รอบ เมื่อ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗

ที่เกรงกันว่า ฝนจะกระหน่ำหนัก เหมือนวันซ้อมริ้วขบวนเมื่อ ๒๒ ตุลา.แต่ปรากฏว่าท้องฟ้าเหนือแม่น้ำเจ้าพระยาเมื่อวาน

โปร่ง สะอาดใส ไร้เมฆฝน
ตะวันเจิดจ้าแต่เช้า ตกบ่ายพลันซ่อนแสงแรงร้อน เมื่อขบวนเรือเสด็จฯ เคลื่อนออกจากท่าวาสุกรี

ประหนึ่งพระบารมีแผ่อภิบาลพสกนิกร ที่เฝ้ารับเสด็จฯ เรียงรายอยู่ทั้งสองฝั่งแม่เจ้าพระยา และตั้งตารอชม “ขบวนพยุหยาตรา” ก็ปานนั้น

สายน้ำเจ้าพระยาเมื่อวาน “อิ่มเสมอฝรั่ง”
สงบนิ่งในระลอกน้อยๆ ที่พลิ้วกระเพื่อมประหนึ่งพยักพเยิดล้อแสงตะวันที่ส่องกระทบส่งประกายระยิบ พรายแพรวเหมือนเกล็ดเพชร

พลันเรือพระที่นั่ง “สุพรรณหงส์” ออกจากท่าวาสุกรี บทเห่ชมเรือสอดรับจังหวะฝีพาย ก็ดังก้องท้องเจ้าพระยา จากพื้นพิภพจบแดนสวรรค์

คนไทย…
เมื่อได้ยิน ทั้งสิ้น..พลันขนลุกซู่ คอหอยตีบตัน ปีติท่วมท้นใจจนน้ำตาซึม วิญญานไทยอุ่นระอุ คุในทรวงขึ้นมาเอง

พระเสด็จโดยแดนชล ทรงเรือต้น งามเฉิดฉาย
กิ่งแก้วแพร้วพรรณราย พายอ่อนหยับ จับงามงอน

นาวาแน่นเป็นขนัด ล้วนรูปสัตว์ แสนยากร
เรือริ้วทิวธงสลอน สาครลั่น ครั้นครื้นฟอง

เรือครุฑ ยุดนาคหิ้ว ลิ่วลอยมา พาผันผยอง
พลพาย กรายพายทอง ร้องโห่เห่ โอ้เห่มา

สรมุขมุขสี่ด้าน เพียงพิมาน ผ่านเมฆา
ม่านกรองทองรจนา หลังคาแดง แย่งมังกร

สมรรถไชยไกรกาบแก้ว แสงแวววับ จับสาคร
เรียบเรียงเคียงคู่จร ดังร่อนฟ้า มาแดนดิน

สุวรรณหงส์ ทรงพู่ห้อย งามชดช้อย ลอยหลังสินธุ์
เพียงหงส์ทรงพรหมินทร์ ลินลาศเลือน เตือนตาชม

เรือไชย ไวว่องวิ่ง รวดเร็วจริง ยิ่งอย่างลม
เสียงเส้า เร้าระดม ห่มท้ายเยิ่น เดินคู่กัน ฯ

คชสีห์ ทีผาดเผ่น ดูดังเป็น เห็นขบขัน
ราชสีห์ ทียืนยัน คั่นสองคู่ ดูยิ่งยง

เรือม้า หน้ามุ่งน้ำ แล่นเฉื่อยฉ่ำ ลำระหง
เพียงม้า อาชาทรง องค์พระพาย ผายผันผยอง

เรือสิงห์ วิ่งเผ่นโผน โจนตามคลื่น ฝืนฝาฟอง
ดูยิ่งสิงห์ลำพอง เป็นแถวท่อง ล่องตามกัน

นาคา หน้าดังเป็นดูเขม้น เห็นขบขัน
มังกร ถอนพายพัน ทันแข่งหน้า วาสุกรี

เลียงผา ง่าเท้าโผน เพียงโจนไป ในวารี
นาวา หน้าอินทรี ที่ปีกเหมือน เลื่อนลอยโพยม

ดนตรีมี่อึงอล ก้องกาหล พลแห่โหม
โห่ฮึกครึกครื้นโครม โสมนัสชื่น รื่นเริงพล

กรีธาหมู่นาเวศ จากนคเรศ โดยสาชล
เหิมหื่นชื่นกระมล ยลมัจฉา สารพันมี ฯ

บทเห่เรือ “เจ้าฟ้าธรรมธิเบศรไชยเชษฐ์สุริยวงศ์” หรือ “เจ้าฟ้ากุ้ง” ทรงประพันธ์ไว้

บ่งบอกถึงว่า “เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์” มีมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมชื่อ “เรือพระที่นั่งศรีสุพรรณหงส์”

แต่ “เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์” ลำปัจจุบัน สร้างใหม่สมัย “พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” รัชกาลที่ ๕
เสร็จในรัชสมัย “พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว” รัชกาลที่ ๖

“พล.ร.ต.พระยาราชสงคราม” (กร หงสกุล) เป็นนาวาสถาปนิกผู้ “ต่อเรือสุพรรณหงส์”

ประกอบพิธี “ปล่อยเรือลงน้ำ” เมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๕๔ คือเมื่อ ๑๑๓ ปีที่แล้ว

ปี พ.ศ.๒๕๓๕ “องค์การเรือโลก” แห่งสหราชอาณาจักร ได้มอบรางวัล “เรือโลก” แก่เรือ “พระที่นั่งสุพรรณหงส์”

คณะกรรมการองค์การ “World Ship Trust”
เข้าเฝ้า “พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร”

ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย…….
เหรียญรางวัลเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ “เหรียญรางวัลมรดกทางทะเล” ขององค์การเรือโลก ประจำปี ๒๕๓๕ (The World Ship Trust Heritage Award “Suphannahong Royal Barge”)

“ขบวนพยุหยาตราทางชลมารค” มีมาแต่โบราณ เป็น “ริ้วขบวนเรือพระราชพิธี” ที่จัดขึ้นสำหรับ “พระมหากษัตริย์” เสด็จพระราชดำเนินไปในการต่างๆ

สืบทอดมาตั้งแต่ สมัยสุโขทัย กรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี กรุงรัตนโกสินทร์ จวบปัจจุบัน

ข้อมูลจาก “กองทัพเรือ” มีว่า….
มีมาตั้งแต่ สมัย “กรุงสุโขทัย” เป็นราชธานี เชื่อว่าเริ่มจาก “พระร่วง” ทรงนำเรือออกไปลอยกระทงหรือกระทำพิธี “จองเปรียง” ณ กลางสระน้ำ

พร้อมทั้ง “เผาเทียน-เล่นไฟ” ในยามเพ็ญเดือนสิบสอง

ยุค “รัตนโกสินทร์” นี้ ในรัชกาลที่ ๑๐
การเสด็จฯ ไปถวายผ้าพระกฐิน โดย “ขบวนพยุหยาตราทางชลมารค” นับเป็นการสืบสานรากอารยวัฒนธรรมชาติอีกครั้ง

ดังนั้น ภาพ “หนึ่งเดียว” ในโลก ณ เจ้าพระยา เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เทียบท่าคู่ “พระปรางค์วัอรุณฯ” ณ วันที่ ๒๗ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๖๗

ไม่เพียงชาวไทยเท่านั้น “ตื่นตา-ตื่นใจ”
ภาพข่าวเสด็จฯ โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารคเมื่อวาน ยังเป็นภาพสร้างความตื่นตาให้ชาวโลก “ตะลึงแล” ด้วยเช่นกัน

เพราะพระราชพิธี โดยขบวนพยุหายาตราทางชลมารค เมื่อวานนั้น ไม่ใช่ “วัตถุ” ที่เห็น

แต่มันคือจิตวิญญานมนุษยชาติผู้มีอารยะเป็นรากฐานมนุษย์ประเทศ “นามไทย” มีรูปลักษณ์ละเอียดอ่อนแต่งามสง่าน่าเกรงขาม

“หนึ่งเดียว” ในโลก ที่ “มีได้-ทำได้”

ไม่เพียงเป็นสมบัติ “มนุษย์ไทย” หากแต่ยังเป็นสมบัติบ่งบอก “อารยะทางมนุษชาติ” ในโลกใบนี้ร่วมกันด้วย!

ผมก็เฝ้าทางหน้าจอ ตลอด ๔๕ นาที…
จากท่าวาสุกรีจนเรือพระที่นั่ง “สุพรรณหงส์” เทียบท่าวัดอรุณราชวราราม เก็บความและสะท้อนความรู้สึกสู่กันฟังได้ประมาณนี้

แล้วท่านล่ะ ผมก็เชื่อว่า “เฝ้าหน้าจอ” เหมือนผม ดูแล้วมีความรู้สึกอย่างไร เขียนมาเล่าสู่กันฟังบ้างก็ได้นะ

ทหารเรือ ตั้งแต่ผบ.ทร.เรื่อยลงไปถึง “พลพาย” รวมแล้วกว่า ๒,๐๐๐ นาย
เหล่าท่าน สร้างทั้งคุณค่าและมูลค่าให้กับประเทศไทยเหลือจะประมาณ

เพราะ “ใจภักดิ์-เพื่อชาติ” จริงๆ เหล่าท่าน-ทุกนาย จึงหน้ากร้าน ตัวดำเป็นเหนี่ยง กับการเคี่ยวกรำฝึกซ้อม “กลางแดด-กลางฝน” มาร่วมปี

ไม่ท้อ มีแต่มุ่งมั่น…
เพราะหัวใจพวกท่าน มัน “ของแท้”!

“ทหารเรือ” นี่ เป็นได้ทุกอย่างจริงๆ ไม่เพียงในน้ำ บนบกก็ไม่เกี่ยง เก่งฉกาจเป็นที่ประจักษ์

อย่างงานช่วย “๑๓ หมูป่า” ติดถ้ำหลวง “ขุนน้ำนางนอน” ที่เชียงราย ตอนปี ๒๕๖๑

“หน่วยซีล” จากทะเล ขึ้นบก ดำน้ำลอดรูในถ้ำเข้าไปช่วย ๑๓ หมูป่าออกมา

ถึงขั้น “จ่าแซม” ยอมสละชีวิตตัวเอง มันบ่งบอกถึงจิตวิญญาน “ทหารเรือ-หน่วยซีล” อันเป็นสังกัดของเขาในอดีต!

ทะเลโคลนทะลักฝัง “แม่สาย” ที่เชียงราย นี่อีกเหมือนกัน มันเป็นงานบนบก

“กองทัพเรือ” ส่งกำลังพลและชุดปฏิบัติการพิเศษ “หน่วยซีล” ลงไปสมทบกำลังพล “กองทัพบก” และกำลังพล “ประชาจิตอาสา” กู้แม่สายขึ้นจากหล่มทะเลโคลน

ลูก “ดอกประดู่” นี่ แปลกอยู่อย่าง ยามมาช่วย ก็มาเงียบ ชนิดไร้ร่องรอย
ครั้นเสร็จภารกิจ ก็สลายตัวกลับที่ตั้ง ชนิด “ไร้ร่องรอย” อีกเหมือนกัน

ทหารเรือ “ถนัดทำ” แต่ไม่ถนัด “พูด” เพราะอย่างนี้กระมัง แค่จะซื้อเรือดำน้ำซักลำ มันจึงแสนจะยากเย็น

นัยว่า สู้กับข้าศึกในน้ำ ๑ กองพล ทร.บอก “สบายมาก”
แต่สู้กับ “นักพ่น” ในสภาแค่ ๑ คน
ทร.บอก เหนื่อยชิบ…!

ถ้าบ้านเมืองไม่มีทหาร มีแต่สส. “นักการเมือง” ในระบบสภา ไม่ต้องพูดถึงขั้นมีศึกสงครามหรือมีหมู่อมิตรคิดข่มเหงรังแกหรอก

เอาแค่ “โคลนถล่ม” ฝังแม่สายและ “น้ำล้นแม่ปิง” ท่วมเชียงใหม่ นี่ก็พอ

ถ้า “ไม่มีทหาร”
แม่สาย-เชียงรายและเชียงใหม่ จะยิ้มได้อย่างตอนนี้หรือ?

“ทหารมีไว้ทำไม?” ผมไม่รู้
แต่ “ผู้แทนราษฎร” ที่เรียกสส.ในมิติ “เสรีภาพ-เสมอภาค-ภราดรภาพ” มีไว้ทำไม..ผมรู้

มีไว้เป็น “หนอน” ชอนไชในยามสงบ

มีไว้เป็น “ไส้ศึก” ตะวันตก บนข้อแลกเปลี่ยน “ล้มสถาบัน-แยกราชอาณาจักรไทย” เป็น “สาธารณรัฐ” แบ่งกันไปปกครอง

ลองถามคน “แม่สาย” และ “เชียงใหม่” ดูก็ได้
ทหารกู้เมืองให้แล้ว อาจมีคนอยากพูดความจริง!

เปลว สีเงิน
๒๘ ตุลาคม ๒๕๖๗

Written By
More from plew
“เอากันด้านๆเลยนะ…จาน” -เปลว สีเงิน
เปลว สีเงิน ไฮยีนาแห่งดงดิบมหา’ลัย แห่ออกมาเป็นฝูง! เผยตัวตนให้เห็นชัดๆในราวป่าวิชาการเมื่อ วาน (๒๖ มีค.๖๔) นับได้กว่า ๒๓๐ ตัว ออกมาทำไม?...
Read More
0 replies on “ถ้าบ้านเมือง “ไม่มีทหาร” #เปลวสีเงิน”