เปลว สีเงิน
เรา….”ประเทศไทย”!
“ชาติ-พระศาสนา-พระมหากษัตริย์” เป็นทั้งรูปธรรมและนามธรรม
ถ้า “ผิดเพี้ยน” จาก ๓ องค์ประกอบนี้เมื่อไหร่
“ประเทศไทย” จะไม่เป็น “ชาติไทย” ได้เลย!
ฉะนั้น ทุกอย่าง “เปลี่ยนแปลงได้”
ยกเว้น “ชาติ-พระศาสนา-สถาบันพระมหากษัตริย์”
“เปลี่ยนไม่ได้”
ใครเปลี่ยน ไอ้คนนั้น-พวกนั้น มันต้อง “ถูกเปลี่ยน”
ด้วยกฎกรรม ใคร “คิดคด-กบฏชาติ” ผู้นั้น มันต้องวิบัติ-วอดวาย
ไม่ “ตายใน” ก็ต้องไป “ตายนอก”
ปีใหม่ ไม่คุยเรื่องร้าย เราจะไปฟัง “ครูบาอินทร-พระครูปัญญาธรรมวัฒน์” วัดสันป่ายางหลวง ลำพูน ปรารภธรรมกับญาติโยมกัน
เพจ “วัดสันป่ายางหลวง” นำเผยแพร่ ฟังนะ…จงฟัง “สุสสูสัง ลภเต ปัญญัง” ฟังดี ย่อมเกิดปัญญา
………………………….
ปรารภธรรม “ครูบาอินทร(พระครูปัญญาธรรมวัฒน์” วัดสันป่ายางหลวง จังหวัด ลำพูน เผยแพร่ ๒ มกราคม ๒๕๖๗
************
เห็นโยมมานึกถึงศรัทธาว่า เป็นผู้มีศรัทธา แล้วญาติโยมก็นึกว่า นี่แหละกรรม เราเชื่อในกรรมว่าบาป-บุญมีจริง
อาตมาเชื่อว่าตอนนี้ เทวดาฟ้าดินเขาเปิด
เปิดเพราะอะไร?
เพราะอาตมาว่า ปีหน้า (ปี พ.ศ.๒๕๖๗) ไม่สันติแน่นอน โลกมันจะวุ่นวาย ตอนนี้เลยไล่คนเข้าวัด อาตมาคิดของอาตมาอย่างนี้
เพราะว่าให้ไล่ต้อนให้โยมทุกจังหวัดมานี่ มาทุกจังหวัดเลย ใต้จนเหนือสุด ตะวันตกถึงตะวันออกสุด
ต่างประเทศก็ยังมา เมื่อเช้านี้ พวกมาเลย์ก็มา สิงคโปร์ก็มา อินโดฯ ก็มา
เมื่อช้านี้ พระนำมา โอ…ไม่ใช่เบาเน้อ “วัดสันป่ายางหลวง” ตอนนี้นะ โอ….ธัมโม สังโฆ
เมื่อเช้า พระอินโดฯ เอาโยมอินโดฯ มา โอ้…มาเมื่อวันก่อนโน่น พี่น้องชาวลาวก็มา
มาหลายที่เลย อังกฤษสู้อุตส่าห์บินมานะ เอ…ทำไมเร็วจัง อย่างนี้เนาะ
นึกว่า โอ้…คนเรานี่ ศรัทธาแล้วมันพาใจ-พาตัว บางคนมาไม่ได้ ฝากกะตังค์มาร่วมทำบุญ อะไรต่างๆ
นี่คือสิ่งที่อาตมาเชื่อว่า ถึงเวลาฟ้าเปิด เวลาที่เทวดาเขาจะดลบันดาลอะไรให้มันเป็นเรื่องที่อาตมาคิดว่าให้ญาติโยมเข้าวัดโดยรีบด่วน
แล้วอาตมาจะขอร้อง จะบอกให้โยมทุกคนว่า ตั้งแต่นี้ต่อไป ให้โยมไหว้พระ-สวดมนต์
สิ่งนี้สิ่งเดียวแหละที่จะช่วยเหลือต่อไปในกาลข้างหน้า ที่ไฟจะลุกลามมาจากทิศตะวันตก ไหม้วัดวาอาราม สณะ ชี พราหม์ จะอดอยาก จะลำบาก
ไฟจะตกมาจากฟากฟ้า วัดวาอารามจะไหม้ จะหายจาก สิ่งที่เหมือนกับภยันตรายมันจะรุกล้ำเข้ามา
นี่แหละ ไฟจะตกจากฟากฟ้า นี่ก็หมายถึง “สงคราม” นั่นแหละ
เพราะตอนนี้ ตะวันออกกลางนี่ ยิ่งตึงเครียดมาก..โยม แล้วก็มันจะเกิดวันไหนเนี่ย
“ปีหน้าเนี่ย (ปีพ.ศ.๒๕๖๗) ตั้งแต่เมษายนไปเนี่ย
รับรองเลย บานหฤทัยก็แล้วกันเถอะ!
ทีนี้ ขอให้ญาติโยมทุกคนปฎิบัติว่า ให้สวดอิติปิโส ๑๙ จบ ทุกวัน
“ทำไมต้อง ๑๙ จบ กว่านั้นได้มั้ย?”
ได้….
ใครสวดเกินกว่านั้นยิ่งดี เป็นชั่วโมง สองชั่วโมงได้ก็ยิ่งดี
๑.การสวดมนต์ จะเป็นสิ่งที่ป้องกัน
อาตมาเองเนี่ย สวดมนต์ ทำวัตร สิ่งที่ปรากฎอันดับแรกคือ “พระธาตุแก้วมณี” สิ่งที่ลี้ลับ สิ่งที่คนมองไม่เห็น เกิดขึ้นโดยอัศจรรย์
อย่าง “พระธาตุเสด็จ “อย่าง “พระเขี้ยวแก้ว” นี่ มาโดยอัศจรรย์ ของ “พระพุทธเจ้ากัสสปะ” ๑ ดวง
แถมยังมีพระพุทธเจ้า “กกุสันธะ” มาอีกดวงหนึ่ง
ไปไหว้ “พระธาตุแหลมลี่” วันวิสาขบูชา ปี ๖๔ ที่ “วัดพระธาตแหลมลี่” เป็นส่วนพระธาตุกลางกระหม่อมของพระพุทธเจ้า
ตกพุ่งลงมาเลยโยม ก็เอามาไว้ในวัด พระธาตุไปเสด็จอยู่ในกล่อง ซึ่งกล่องติดกาวเรียบร้อย โน่น..เอาใส่ไว้ในวิหารหลังโน้น หลังที่กำลังซ่อมบูรณะนั่น
พอดีพระไปศรีลังกาองค์หนึ่ง เก็บกุญแจไว้ เลยไม่ได้เอามาเปิด เอามาเปิดให้โยมดูก็ได้ ถ้าใครอยากเห็น ก็ไปอยู่วิหารหลังโน้น
จากเม็ดที่เท่าข้าวสาลีมา ๕ เม็ด ปัจจุบันนี่ เป็นเท่ากับเม็ดเกาลัด ใหญ่กว่าเกาลัดอีกเท่า
นี่คือบารมีการสวดมนต์
ขอให้โยมสวดมนต์ อาตมาเดินวียนเทียนรอบ “พระธาตุชเวดากอง” พระธาตุพุ่งลงมาตกถูกผ้าจีวร ขณะพนมมือเดินเวียนเทียนอยู่
กลิ้งลงพื้นแกร๊กๆๆๆๆ อาตมาหยิบมาดู รู้เป็นพระธาตุ จากเมื่อก่อน เม็ดเท่ากับข้าวสาลี ปัจจุบันนี่ เม็ดเท่ากับไข่นกกระทา น้องๆ กับพระธาตุที่ตกมาจากแหลมลี่
สิ่งเหล่านี้แหละ ถ้าเราสวดมนต์ จะเป็นบารมี ที่กุศลจะเกิดขึ้น ขอให้ญาติโยมไปสวดอิติปิโส พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ นี่แหละ จะดีที่สุด
จะช่วยทำให้ชีวิตจิตวิญญานของเราดีขึ้น จะทำให้จิตวิญญานของเราดีขึ้น
๒.ปริตร (พระพุทธมนต์-เปลว) เนี่ย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะป้องกันภยันตรายทั้งหลาย ทั้งปวง
ไม่ให้ภยันตรายทั้งหลาย-ทั้งปวงเกิดขึ้น เวลาเราไปที่ไหน จะออกบ้าน จะไปที่นั่น-ไปนี่
สิ่งพวกนี้ จะป้องกันภยันตรายทั้งหลายทั้งปวงได้
ในเหตุการณ์ข้างหน้าเนี่ย ขอให้โยมไปไหน นึกถึงพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ
อย่างตอนเช้านี่ จะมีพรุ่งนี้ ก็มีห่มผ้าพระธาตุ จะพากันสวดอิติปิโสนี่แหละ
๑.สร้างฐานจิตใจให้สงบ
๒.ป้องกัน
๓.เป็นสมาธิ
โยมสวดอิติปิโส ๑๙ จบ “กำลังวันพฤหัสบดี” ก็จะทำให้เราสวดมนต์ จะทำให้จิตเป็นสมาธิไปในตัว
เวลาสวด น้อมจิตระลึกนึกถึง พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ
ต่อไปนี้นะ แม้แต่ทองคำก็ยังสู้พระพุทธคุณ พระธรรมคูน พระสังฆคุณไม่ได้
ขอให้โยมสวด แล้วก็ทำวัตร จะมีบทนั้น (คำขอขมาพระรัตนตรัย-เปลว)
“กาเยนะ วาจายะ วะ เจตะสา วา, พุทเธ กุกัมมัง ปะกะตัง มะยา ยังพุทเธ ปะฏิคคัณหะตุ อัจจะยันตัง, กาลันตะเร
สังวะริตุง วะ พุทเธ,
กาเยนะ วาจายะ วะ เจตะสา วา, ธัมโม กุกัมมัง ปะกะตัง มะยายัง, ธัมโม ปะฏิคคัณหะตุ อัจจะยันตัง, กาลันตะเร สังวะริตุง วะ ธัมโม,
กาเยนะ วาจายะ วะ เจตะสา วา, สังเฆ กุกัมมัง ปะ กะตัง มะยา ยัง,สังเฆ ปะฏิคคัณหะตุ อัจจะยันตัง, กาลัน ตะเร สังวะริตุง วะ สังเฆ,
ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ข้าพเจ้าได้ล่วงเกินต่อพระพุทธะรัตนะ ธัมมะรัตนะ สังฆะรัตนะ
ข้าพเจ้า ขอพระพุทธะรัตนะ พระธัมมะรัตนะ พระสังฆะรัตนะ จงงดซึ่งโทษล่วงเกินอันนั้น
นี่คือ “ห้ามบาป” หมายถึงว่า เราขอ “ขมากรรม” ต่อพระรัตนตรัย ตัวเราจะไม่ทำบาป
เพราะก่อนหน้านั้น เราไปฆ่า ไปลัก ไปประพฤติผิดในกาม ไปกล่าวเท็จ ไปดื่มกินสุราเมรัย เนี่ย…มันสร้างบาปให้กับเรา
เมื่อเรามีบาปติดตัว สร้างเวร-สร้างกรรมไง อย่างเราไปฆ่าสัตว์ เราไปลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกรรม กรรมก็ติดตามมา
ญาติโยมลองคิดดูเถอะ คนที่สร้างกรรม ก็อย่างเรื่องที่เล่าเมื่อกี้ มันจะสะท้อนกลับมาหาตัวเราเอง ทำกับคนอื่น ก็จะสะท้อนกลับหาตัวเราเอง
อย่างคนเป็นโรคผิวหนัง อย่าง “นางโลหินี” น้องของ “พระอนุรุทธะ” พระอัครสาวกองค์หนึ่งของพระพุทธเจ้า
ซึ่งอดีตชาติ ท่านเป็นพระอินทร์ลงมาเกิด สร้างบารมีเป็นพระสาวกของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์
“พระอนุรุทธะ” ท่านได้หูทิพย์-ตาทิพย์ เกิดในวงศ์ของพระพุทธเจ้านั่นแหละ และท่านได้บอกกับวงศ์ตระกูล คือเป็น “ลูกพี่-ลูกน้อง” กับพระพุทธเจ้าเนี่ย ลาบวช
พอบวชแล้ว ก็ได้รู้ธรรมเป็น “พระอรหันต์”
วันที่พระเจ้าสุทโธทนะ นิมนต์พระพุทธองค์เสด็จเข้ากบิลพัศดุ์ ไปฉลอง “วัดนิโครธาราม”
“นางโรหินี” ป่วยเป็นขี้ทูด บาลีว่า “กุฎฐัง” นั่นแหละ
เป็นขี้ทูด เละไปทั้งตัวเลย เน่าเฟะ เป็นตุ่ม เป็นฝี เป็นหิด เป็นโรคผิวหนัง โรคน่าเกลียด เลือด น้ำหนอง ซึมตลอด
ฝ่าย “นางโรหินี” ซึ่ง “พระอนุรุทธะ” ท่านเป็นพี่ ไปบ้าน ก็ไปพบน้องเป็นโรคกุฎฐัง ท่านรู้ว่า จะแก้ยังไง
ท่านก็เลยถามน้องว่า “น้อง…มีสตางค์เหลือมั้ย?”
น้องก็ตอบว่า “ไม่มีเลย พระคุณเจ้า”
“แล้วก็ทรัพย์สร้อยแหวนเงินมีมั้ย?”
“มี”
งั้นก็ขาย แล้วเอามาสร้าง “ศาลาโรงทาน” ถวายสงฆ์ คือ “ศาลาฉันข้าว” ของพระสงฆ์ ทำ ๒ ชั้น เอาถวายแก่สงฆ์
นางโรหินี ขายทรัพย์เอามาสร้างโรงฉันถวายสงฆ์ เมื่อสร้างเสร็จ พอดีเงินเหลือ ก็นำเอามาทำบุญถวาย
“พระอนุรุทธะ” สั่งนางโรหินี ว่าทุกวันให้มาปูเสื่อ-ปูสาดอาสนะ น้ำล้างเท้า เช็ดน้ำ ตักน้ำล้างเท้าให้พระ นางก็ทำตลอด
จนวันฉลอง พระพุทธเจ้าเสด็จ นางไม่กล้าเข้าไปใกล้ เพราะว่าเป็นโรคเรื้อน
พระพุทธเจ้าตรัสถาม “นางโรหินีไปไหน?”
พระอนุรุทธะทูลว่า “น้องอาย เป็นโรคกุฎฐัง ไม่กล้าสู้หน้า”
พระพุทธเจ้าตรัสบอกว่า “ไปเชิญมา”
เขาก็ไปเชิญนางโรหินีมานั้งต่อหน้าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าแสดงธรรมเรื่อง “อนุปุพพิกถา” เรื่องทาน เรื่องศีล เรื่องภาวนา
ขณะที่ พระพุทธเจ้าเจาะจงแสดงธรรม นางโรหินีฟังเทศน์ อย่างที่โยมฟังเนี่ย
จิตนางก็อิ่มเอิบไปด้วยบุญกุศล เพราะกรรมเวร มันจะได้คลายแล้ว เพราะได้วิบากมาหลายชาติแล้ว วิบากเป็นโรคเรื้อน เป็นโรคผิวหนังมาหลายชาติ
ในที่สุด ใจนางยกขึ้นฟังพระธรรมเทศนา ขนลุก-ขนพองซู่…ซู่ซู่ ไม่เคยอิ่มเอิบจิตอย่างนี้มาก่อน พระพุทธเจ้ามีบารมี
โรคขี้ทูดของนางที่ออกผิวนั่นน่ะ มันหายไปโดยปลิดทิ้ง ด้วยบารมีของพระพุทธเจ้า
นางได้โสดาบัน เป็นโสดาบันบุคคล ไม่มีอันตกต่ำ นางตายไป ก็ไปเกิดในดาวดึงส์ เป็นเทพธิดาอยู่ในดาวดึงส์ ด้วยบุญที่ได้ถวายเสนาสนะ
ทีนี้ กรรมเนี่ย กรรมของนางโรหินีที่ทำ
เรื่องนี้ เรื่องอิจฉาริษยากันนี่แหละ เรื่อง “เมียหลวง-เมียน้อย” เนี่ย
๑. นางเป็นเมียพระราชาของเมืองกบิลพัศดุ์ในอดีต อยู่ต่อมา พระราชาไปได้หญิงนักฟ้อนมาเป็นอนุภรรยาอีก
ปรากฎว่า นางก็กลัวว่า นางนักฟ้อน หญิงที่พระราชาเอามาเป็นอนุภรรยา จะมาแย่งเอาความดีไป
ก็เลยใช้บริวารให้ไปเอาหมามุ่ยกับผงเต่าร้าง ทางเหนือเรียก “มะพร้าวเต่า” ต้นแบบนี้มันอยู่ป่า ต้นใบเฟิร์นนั่นแหละ
“ผงเต่าล้าง” คัน…ผสมกับ “หมามุ่ย” ก็เป็นคัน ๒ ชั้น ว่างั้นเถอะ เอาไปโรยในที่นอนของนางหญิงนักฟ้อน
ปรากฎว่านางหญิงนักฟ้อน โดนพิษของผงเต่าร้าง คันไปทั้งตัว คันก็เกาๆ จนเป็นหนอง เป็นตุ่ม น้ำเหลืองเยิ้มไปทั่วร่างกาย กลายเป็นโรคผิวหนังไปเลย
ถึงทุกข์ทรมานตายไปด้วยอาการอย่างนั้น เขาก็แช่งชักหักกระดูก นี่แหละกรรม
นางโรหินีกลับชาติมาเกิด เป็นโรคผิวหนังมาตลอด ในที่สุดก็มาเป็นอยางนี้ เป็นขี้ทูดอย่างนี้ เนี่ย…เรื่องกรรม
……………………….
อย่าว่าเฉพาะตัวบุคคลเลย
รัฐบาลไหน เอาภาษีหลวง ไปแจกแก้บนหาเสียง แล้วให้ชาวบ้านใช้หนี้ มันต้อง “วิบัติ-วอดวาย”
“ด้วยกรรม” กู้ไปแจก-กูแอบแดกด้วย”!
เปลว สีเงิน
๑๕ เมษายน ๒๕๖๗