23 กุมภาพันธ์ 2567 นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า หลังการแถลงวิสัยทัศน์ ของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง Thailand Vision “IGNITE THAILAND : จุดพลัง รวมใจ ไทยต้องเป็นหนึ่ง” เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2567 หน่วยงานเอกชนต่างชื่นชมการแถลงวิสัยทัศน์นี้ อาทิ หอการค้าไทย มองว่าเป็นเรื่องดีที่ทำให้ทุกฝ่ายทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาชน และภาคประชาสังคม จะได้ทราบถึงมุมมองและทิศทางของประเทศไทย ขานรับแนวทางการทำงานเพื่อพัฒนาประเทศ ในการเดินไปข้างหน้าในอนาคตอย่างครบถ้วนทุกมิติในแนวทางเดียวกัน
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผยว่า นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการ หอการค้าไทย ได้ระบุว่า วิสัยทัศน์ทั้ง 8 ด้าน ของนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะทำให้ทุกฝ่ายสามารถเดินหน้าไปในทิศทางเดียวกันได้อย่างราบรื่น พร้อมทั้งแสดงความคิดเห็นในแง่บวกต่อวิสัยทัศน์ของนายกรัฐมนตรี อาทิ ในวิสัยทัศน์ด้านการท่องเที่ยว หอการค้าไทยเห็นพ้องต่อแนวทางในการส่งเสริมนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพและรายได้สูงมากขึ้น รวมถึงอุตสาหกรรมด้านการท่องเที่ยวกระทบต่อประชาชนไทยส่วนใหญ่ เพราะสร้างรายได้ให้กับคนไทยกว่า 1 ใน 3 ของจำนวนประชากร
สำหรับวิสัยทัศน์ในการเป็นศูนย์กลางอาหาร ซึ่งประเทศไทยนับว่ามีความพร้อมและมีศักยภาพอย่างมาก หอการค้าไทยเห็นด้วยกับประโยคที่ว่า “ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ในกระเป๋าต้องมีเงิน” เนื่องจากทรัพยากรในประเทศที่อุดมสมบูรณ์แล้ว ไทยยังต้องมีเม็ดเงินจากต่างประเทศเข้ามาหล่อเลี้ยงประชาชน มุ่งหวังที่จะเห็นอุตสาหกรรมอาลาลและอุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคตสามารถเจริญเติบโตได้มากขึ้น รวมถึงแนวทางในการพัฒนาเกษตรจากรัฐบาล เพื่อให้เกษตรไทยสามารถพึ่งพาตัวเองได้
ประเด็นเรื่องการมุ่งไปสู่การเป็นศูนย์กลางการบิน และการขนส่งของภูมิภาค หอการค้าไทยได้เผยถึงผลกระทบที่จะส่งผลเชิงบวกต่อไปยังด้านการท่องเที่ยวด้วย ซึ่งแผนพัฒนาสนามบิน เส้นทางบิน และระบบคมนาคมขนส่ง เพื่อเพิ่มศักยภาพและความสามารถในการรองรับนักท่องเที่ยว การเดินทาง และการขนส่ง ที่จะเพิ่มมากขึ้นในอนาคต รวมถึงจะเพิ่มการเชื่อมต่อไปยังการท่องเที่ยวในเมืองรองของไทยได้มากขึ้น
นอกจากนี้ หอการค้าไทยยังเปิดเผยถึงแนวโน้มของนักลงทุนต่างชาติต่อการลงทุนในประเทศไทย ซึ่งหอการค้าไทยมองว่า แม้ประเทศไทยจะได้รับผลกระทบด้านเศรษฐกิจจากสถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในภูมิภาคต่าง ๆ แต่ไทยก็จะได้รับอานิสงค์ในฐานะที่ไทยเป็นประเทศที่เป็นกลาง ไม่ใช่พื้นที่ของความขัดแย้ง และมีทำเลซึ่งสามารถกระจายและขนส่งสินค้าไปยังประเทศต่าง ๆ ได้สะดวก ซึ่งนักลงทุนต่างชาติยังสามารถเชื่อมการค้าและการลงทุนต่อไปยังอาเซียน และภูมิภาคอื่น ๆ ได้เพิ่มเติมด้วย
“ตามที่ท่านนายกพูดเสมอ การใส่เงินไม่พอ ต้องใส่ใจ และผมขอเสริมว่า ต้องมีวิสัยทัศน์ ทำงานเป็นด้วยครับ ผมเชื่อมั่นว่ารัฐบาลเราทำงานเป็นครับ และการแสดงวิสัยทัศน์ของนายกรัฐมนตรีมีบทบาทสำคัญต่อการตัดสินใจมาลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งแผนการพัฒนาและยกระดับศักยภาพด้านต่าง ๆ ของรัฐบาลนี้ ชัดเจน ครอบคลุม รวมถึงการส่งเสริมกระบวนการทำงานไปสู่ One Stop Service ได้รับเสียงเสียงชื่นชมจากภาคเอกชน เพราะส่งผลกระทบเชิงบวกโดยตรงต่อภาคเอกชน สามารถช่วยเอื้อประโยชน์ต่อการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชนให้ง่ายขึ้น รวมถึงยังช่วยเสริมสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนต่างชาติมากขึ้น” นายชัย กล่าว