เปลว สีเงิน
ขอได้ทราบทั่วกันนะครับ
หลังประกาศ “ปิดบัญชี” โอนเงินสร้าง “หลวงพ่อทวด” วัดทรายขาว สงขลา
ที่สร้างค้างไว้ “ครึ่งองค์” มานานกว่า ๒๐ ปี ให้เป็น “หลวงพ่อทวด” เต็มองค์สมบูรณ์ไป เมื่อปลายเดือนตุลา.นั้น
บัดนี้……….
“พระครูสังฆรักษ์พิเชษฐ์” ได้แจ้งยอดเงินโอนเข้าบัญชีล่าสุด ณ วันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๖ มาดังนี้
เป็นเงินทั้งสิ้น ๑๕,๗๗๖,๐๒๓.๐๐ บาท!
ขอกราบอนุโมทนาสาธุกับทุกท่าน “คุณชาตรี” ฝ่ายจัดหล่อและสร้างวิหารบรรจุสรีระ “พระเทพญาณโมลี” (ผัน ปสันโน) อดีตเจ้าอาวาส
แจ้งให้ผมทราบว่า เดือนพฤศจิกานี้ เริ่มขั้นตอนหล่อ “ส่วนล่าง” องค์หลวงพ่อทวด พร้อมลง “เสาเข็ม” วิหาร
ในส่วนการสร้าง “หลวงพ่อทวด” ให้เต็มองค์ครบสมบูรณ์นั้น จะอยู่ในงบไม่เกิน ๖ ล้านบาท
๘-๙ กุมภา.๖๗ จะเป็นวัดเททองหล่อหรือหล่อเสร็จแล้ว ประกอบพิธียกองค์ “หลวงพ่อทวด” ขึ้นตั้งบนฐาน อะไรซักอย่างนี่แหละ ผมฟังแล้วก็ไม่ได้ซักถามให้ชัด
แต่สรุปเป็นว่า ราวๆ ๙ กพ.ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดหลวงพ่อผัน
“พระครูสังฆรักษ์พิเชษฐ์” พร้อมคณะศิษย์หลวงพ่อผัน ทั้งชาวไทย ชาวอินโดฯ ชาวมาเลย์ จะทำพิธียกองค์ “หลวงพ่อทวด” ขึ้นตั้งบนฐาน
ก็แปลกดี ผมขอเงินจากท่าน ๖ ล้านบาท
แต่ท่านทั้งหลาย ถวายหลวงพ่อทวดมาร่วม ๑๖ ล้าน เอาเข้าจริง กว่าจะถึงวันหล่อ ก็น่าจะเกิน ๑๖ ล้านด้วยซ้ำ!
แต่แค่นี้ ฟังพระปรารภ ผมชักสงสัยว่า ผมทำบุญหรือทำบาปให้พระกันแน่?
เพราะแต่ก่อน ไม่มีใครสนใจ แต่พอเห็นเงินไหลเข้าวัดเป็นสิบกว่าล้าน “วัดทรายขาว” กลายเป็น “วัดญาติเยอะ” ทันที
แทนที่คนจะไปช่วยวัด คนกลับไปขอให้วัดช่วย
พอวัดมีเงินมาก ทำเอาพระเครียด เพราะไม่เคยนึกมาก่อนว่า “มีเงินแล้วจะมีปัญหา” อย่างนี้!?
๑๔-๑๕ ล้านบาท ในชั่วพริบตา ทำเอาพระท่านตกใจ จนช็อก ญาติโยมก็ช็อกตามด้วย!
ผมก็ย้ำว่า เงินนี้ ……….
ผู้ศรัทธา “หลวงพ่อทวด” จบขึ้นหัวถวายท่าน
เพื่อสร้างท่านให้เป็น “องค์สมบูรณ์” ไม่ถูกทิ้งตากแดด-ตากฝนในสภาพ “ครึ่งองค์” อยู่อย่างนี้
ฉะนั้น เมื่อนำไปสร้างองค์หลวงพ่อทวดให้เสร็จสมบูรณ์แล้ว ส่วนที่เหลือ ก็นำไปสร้างวิหารบรรจุสรีระ “หลวงพ่อผัน” ซึ่งไม่เปื่อย ไม่เน่า
นอกจากกิจการนี้ ไม่ใช่เจตนา ที่จะให้ทางวัดนำไปใช้ พระครูสังฆรักษ์พิเชษฐ์ท่านก็เข้าใจ
แต่ “เครียด” มาก
เพราะ “วัดมีเงิน” แล้ว มีผู้ปรารถนาดีอยากช่วยใช้เงินวัดมารุมตอม ประมาณนั้น!
ผมถามถึงการบริหารจัดงานในวัด ก็ทราบว่าในวัดไม่มีเงินทองอะไรมากมายที่ต้องบริหาร พระกับญาติโยม ๒-๓ คนร่วมกันดูแล
เพราะหลังจาก “หลวงพ่อผัน” มรณภาพ ลูกศิษย์ที่เคยมีมามากๆ ก็หายไป “พระครูสังฆรักษ์พิเชษฐ์” เพิ่งมารักษาการแทนเจ้าอาวาส ๕-๖ ปีนี่เอง
วัดก็มีแต่โครงการ แต่ไม่ได้ลงมือ เพราะไม่มีเงิน
เมื่อไม่มีเงิน ปัญหาก็ไม่มี
พอมีเงินปุบปับขึ้นมานี่แหละ ปัญหามันจึงมี พระท่านก็ว้าวุ่นในขั้นตอนดำเนินงาน ลำพังพระ ท่านจัดการไม่ได้ทุกเรื่อง ต้องมีคนมาช่วย
พอมีเงิน ก็ไม่ยากในการหาคนช่วย ผมถามคนที่เคยมาพบผม เขาบอก เรื่องเงินนั้น น้อยคน จะน้อยปัญหา มากคน จะมากปัญหา
ก็จริงของเขานะ!
“เงิน” เป็นอาหารของตัณหาและเป็นตัวทดสอบ “ธาตุแท้” คน
เพราะอย่างนี้ไง ผมถึงไม่อยากรวย
เพราะไม่ไว้ใจตัวเองและรู้ธาตุแท้ตัวเองว่า ยามจน ปลาทู ๑ ตัว ผมแบ่งคนละซีกให้ได้
แต่ถ้ามี ๑๐๐ ล้าน ผมจะชังตัวเองทันที เพราะไม่แน่ใจว่าจะยอมแบ่งให้เพื่อน ๕๐ ล้านมั้ย?
ก็คุยสู่กันฟัง ท่านก็ไม่ต้องเครียดตามพระไปหรอก พระท่านเครียดน่ะดีแล้ว บ่งบอกถึง “พื้นฐานจิตบริสุทธิ์”
เพราะเมื่อมี “ตัวมาร” เข้ามาทดสอบ
เพราะท่าน “ปกป้อง” ท่านจึง “เครียด”!
เงิน ๑๕-๑๖ ล้าน จึงถือเป็นตัวสร้างกรรมฐาน-ฝึกจิตในขั้นต้นให้กับท่าน
ฉะนั้น ไว้ใจได้ หลวงพ่อทวด “องค์สมบูรณ์” สำเร็จแน่
“คุณปราโมทย์ เตียสุวรรณ์” แห่งแพรนด้า จิวเวลรี่ ที่ผมเคยบอก จะสร้างหลวงพ่อทวดองค์เล็กๆ ๑ หมื่นองค์ ถวายให้วัดมีเงินสร้างวิหารและบำรุงวัดต่อไป
ผมถาม “พระครูสังฆรักษ์พิเชษฐ์” ว่าคุณปราโมทย์โทรมาหรือยัง ท่านบอกว่า โทรมาแล้ว แต่ท่านบอกว่า วัดไม่เคยจำหน่ายวัตุมงคล คือประมาณว่า ท่านไม่อยากให้สร้าง
ผมก็บอก เขาทำถวายด้วยศรัทธา เขาไม่คิดเงินทอง คือทำมาขายวัดหรอก
อีกอย่าง นี่ไม่ใช่การจำหน่าย ต่อไป เมื่อยกองค์ “หลวงพ่อทวด” องค์สมบูรณ์ขึ้นตั้งบนฐานแล้ว คนจะมากราบบูชาท่านมาก
เขาทำบุญกับวัด ก็มอบให้เขานำไปบูชาเป็นสิริมงคล วัดไม่มีเจตนาค้าขายแต่อย่างใด ซึ่งผมก็ไม่ต้องการให้เป็นอย่างนั้นด้วย
แล้วก็ไม่ได้ถามต่อ แต่สัปดาห์ที่แล้ว คุณปราโมทย์แจ้งผ่านเลขาฯ ผมว่า พระบอกให้เขาโทรมาปรึกษาผม ว่า
จะ “ตั้งชื่อรุ่น” หลวงพ่อทวดรุ่นนี้ว่าอะไรดี?
แสดงว่า “พระครูสังฆรักษ์พิเชษฐ์” เข้าใจเจตนาและอนุญาตให้คุณปราโมทย์สร้างแล้ว
ผมก็ขอเสนอตรงนี้เลยว่า เป็นหลวงพ่อทวดวัดทรายขาว “รุ่นเต็มองค์”!
คนร่วมสร้างและคนที่นำไปบูชา ปรารถนา-อธิษฐานสิ่งใด สิ่งนั้นชอบ-กอปรด้วยธรรม ก็จะสัมฤทธิ์ผลได้รับเต็ม ครบถ้วนบริบูรณ์
และจะเป็นชีวิตที่ไม่รู้จักคำว่า “พร่อง” ตลอดไป
ดั่งองค์ “หลวงพ่อทวด” ที่สร้างไว้ครึ่งองค์นับเป็นทศวรรษ เพราะเราทั้งหลาย หลวงพ่อทวด “ดลใจ” ให้มีวาสนาได้ช่วยกันสร้างท่านให้ครบองค์
เป็น “หลวงพ่อทวด” เต็มองค์สมบูรณ์ เด่นสง่า หน้าตักกว้างตั้ง ๙ เมตร ใหญ่ที่สุดในโลก
“หน้าตัก” เป็นที่ “รับทรัพย์” ฉะนั้น คนไหนหน้าตักกว้างมากเท่าไหร่ จะอุดมสมบูรณ์ มั่งคั่งมากขึ้นเท่านั้น
และนี่ เราช่วยกันสร้าง “หลวงพ่อทวด” หน้าตักกว้าง ๙ เมตร คิดดูซิว่า จะกว้างใหญ่ขนาดไหน
ประหนึ่ง “โพงพาง” กลางทะเล ไม่ว่าปลาเล็ก-ปลาใหญ่ ไหลเข้ามารวมอยู่ในโพงพางนี้หมด!
ตอนนี้ ทางวัดทะยอยส่ง “ใบอนุโมทนาบัตร” ไปให้ท่านที่ต้องการแล้ว แต่เชื่อว่า คงมีตกหล่นบ้าง ก็ทางผมนี่แหละทำตกหล่น
ถ้าไม่ได้รับในเวลาอันควร แจ้งซ้ำมาที่เฟซบุ้ก “เปลว สีเงิน” ด้วยละกัน
ผมเห็นยังมีบางท่านโอนเงินเข้าบัญชีวัดอยู่ ก็อนุโมทนา แต่ใจผมนั้น คิดว่า “พอก่อน”
เพราะ ๑๕-๑๖ ล้านนั้น เกินเป้า ๖ ล้านไปตั้งเกือบ ๓ เท่าแล้ว เดี๋ยววัดจะสำลักเงิน
ให้ท่านลงมือสร้างก่อน เมื่อเสร็จแล้ว ท่านมีโอกาสไปเห็นกับตา ไปกราบหลวงพ่อทวด “รุ่นเต็มองค์”
จากนั้น จะบริจาคเพื่อสร้างวิหาร เพื่อบำรุงวัด ตอนนั้น ใจท่านกำลังฟูด้วยศรัทธา ร่วมทำบุญตอนนั้น อานิสงส์จะยิ่งเพิ่มพูน
ส่วนตอนนี้ แค่ใจตั้งและอนุโมทนาร่วมกันไป ก็เกิดอานิสงส์แห่งบุญแล้ว
ในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ ๑ ใน ๑๐ ข้อที่เกิดบุญ เรียกว่า “ปัตตานุโมทนามัย” บุญที่เกิดจากการอนุโมทนาบุญ
คือ เห็นคนอื่นทำดีแล้ว เราพลอยยินดีไปกับสิ่งที่เขาทำด้วย เราก็ได้บุญเช่นกัน
นี้คือ “ปัตตามุโมทนามัย” บุญไม่ได้มาด้วยการซื้อ บุญเกิดจากจิตให้ และจิตพลอยยินดีร่วมไปกับเขา
จำไว้นะครับ….
บุญใช้เงินซื้อไม่ได้ ฉะนั้น ใจบอด “ทำบุญ” แม้ร้อยล้าน-หมื่นล้าน ก็สูญเปล่า ไม่ได้บุญเลย
ในทางเดียวกัน เพียงอนุโมทนาสาธุ ด้วย “ใจสว่าง-ใจปีติ” ร่วมไปกับคนที่เขาทำสิ่งดี โดยไม่ต้องบริจาคซักบาท ก็ได้บุญเต็ม
ตั้งใจคุยเรื่องยอดเงินซักนิดเดียว แล้วจะคุยเรื่องรัฐมนตรีต่างประเทศ “ท่านปานปรีย์ พหิทธานุกร”
ที่เพิ่งเดินทางกลับจากไปพบผู้นำสำคัญใน ๓ ประเทศกาตาร์, อียิปต์ และอิหร่าน ผมก็เลื้อยไปซะยาว
คือท่านเดินทางไปหาทางช่วยคนงานไทยในอิสราเอล ๒๓ คน ที่ถูกจับไปเป็นตัวประกัน โดยไม่แน่ชัดว่าจากฝ่ายไหนเป็นฝ่ายไหนจับ
ทั้งชุดที่อาจารย์วันนอร์ส่งไปและทั้งที่รัฐมนตรีปานปรีย์เดินทางไปเอง ต่างช่วยกันเต็มที่ ผลคืบหน้าที่ได้ตรงกัน คือ
ฝ่ายฮามาสรับประกันคนงานไทย “ปลอดภัย” และถือเป็นแขกของเขา ไม่ใช่ตัวประกัน
“ปล่อยตัว” นั้น…ปล่อยแน่
แต่จะปล่อยวันไหน เมื่อใด คำตอบคือ “เมื่อถึงเวลา”!
ท่านรัฐมนตรีต่างประเทศปานปรีย์ ถ้าพูดตามภาษาชาวบ้าน ท่านเข้ามาในจังหวะไม่เอื้ออำนวยสักเท่าไหร่
คือมาปุ๊บ ก็เจองานหิน กรณี “ยิว-ปาเลสไตน์” โดยมีชีวิตคนงานไทยเป็นเดิมพัน!
เป็นงานใหม่ “ต้อนรับท่าน” ในตำแหน่งใหญ่ด้านการต่างประเทศ
แต่โดยชาติเชื้อตระกูลแล้ว ถ้าจำไม่ผิด คุณปู่ท่าน “พระพหิทธานุกร” เคยเป็นทูตและเป็น “ปลัดกระทรวงต่างประเทศ”
ส่วนคุณพ่อท่าน ศึกษาที่สวิตเซอร์แลนด์ตั้งแต่เด็กจนจบมหาวิทยาลัย ก่อนกลับมาทำงานในกระทรวงการต่างประเทศ
ฉะนั้น จะว่าไปแล้ว ท่านรองนายกฯ และรัฐมนตรีต่างประเทศปานปรีย์ ก็ไมใช่ “คนแปลกหน้า” ของกระทรวงต่างประเทศ
ก็อย่างว่า เข้ามาก็เจอ “งานหิน” ถ้าท่านใช้วิสัยทัศน์จากประสบการณ์ในงานการเมือง-การต่างประเทศด้วยตัวท่านเอง
คือในตัวท่านปานปรีย์ นั้น….
มีศักยภาพพร้อมอยู่แล้ว เพียงแต่ “ปลุกความเชื่อมั่น” ออกมาและผึ่งไหล่ให้เป็น “ตัวของตัวเอง” เท่านั้น
“ปานปรีย์” ชื่อนี้….จะเปรี้ยง!
เปลว สีเงิน
๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๖