สันต์ สะตอแมน
มีคนสงสัย ตั้งคำถาม..
หลังเห็นคุณเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 โชว์ภาพรับช่อดอกไม้แสดงความยินดีจากอภิมหาเศรษฐี ผู้บริหารเครือซีพี-ไทยเบฟ-ไทยพาณิชย์-คิงเพาเวอร์-ช.การช่าง..
สื่อนัยอะไรหรือไม่?
จะตอบอย่างไรดีล่ะ? เอาเป็นว่า “สองคนยลตามช่อง” ก็แล้วกัน คือฝ่ายที่ชื่นชอบ-ศรัทธาในตัวคุณเศรษฐาก็ย่อมจะมองเป็นเรื่องที่ดี ที่นายกฯได้พบปะพูดคุยกับอภิมหาเศรษฐี
เพราะการได้มีโอกาสรับฟังความคิดเห็นจากภาคธุรกิจ จะมีประโยชน์มากกับการพัฒนาประเทศ อย่างที่คุณเศรษฐาว่านั่นแหละ
ส่วนคนที่ชัง-ไม่ชอบ โดยเฉพาะฝ่ายที่พยายามจะ “ทลายทุนผูกขาด” ก็อาจมอง นี่เป็นสัญญาณว่ารัฐบาลภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทย จะยังให้ความสำคัญกับ “ทุนใหญ่” อยู่!
ด้านสื่อ-นักข่าวไม่มอง แต่ยิงคำถามตรงๆ ว่ามีการตั้งข้อสังเกตว่าภาพที่ออกมาขัดกับนโยบายพรรคเพื่อไทย ที่จะลดการผูกขาดของกลุ่มทุน
ซึ่งคุณเศรษฐาก็ได้บอกกับนักข่าว.. “ผมไม่ขอตอบคำถามนี้ เพราะมันไม่เป็นธรรมกับผมและบุคคลในภาพสักเท่าไร
และบุคคลในภาพทุกคนมีความหวังดีต่อประเทศชาติเหมือนกัน และไม่ได้มีการขออะไรกับผมเลย เป็นการพบปะพูดคุยปัญหาของบ้านเมือง
ยืนยันว่าไม่มีการขออะไรให้กับบริษัท หรือว่าเครือข่ายของพวกท่านเลยสักคนเดียว ทุกคนล้วนใจดีและหวังดีกับประเทศชาติ และให้กำลังใจในขีดจำกัดของการจัดตั้งรัฐบาล”
แน่นอน..มีทั้งฝ่ายเชื่อและไม่เชื่อ แต่ผมเชื่อ 100% คงไม่มีมหาเศรษฐีหน้าโง่คนไหนจะหลุดปากขอโน่น-ขอนี่กับนายกฯ บนโต๊ะข้าวที่เต็มไปด้วยนักธุรกิจมากหน้านั่นหรอก..
การขอในเรื่องสำคัญๆ เพื่อประโยชน์ทางธุรกิจน่ะ มันต้องขอกันในที่ลับ เช่นชั้น 7 ชั้น 14..เออ อย่างงี้พอจะเชื่อได้!
อ้อ..แต่นั่นไม่ได้ขอกันในที่ลับ ผมหมายถึง “มะเดี่ยว” หรือคุณชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ผู้กำกับภาพยนตร์คนดัง ที่เข้าขอขมาลาโทษต่อคุณหมอยง ภู่วรวรรณ พร้อมโพสต์ภาพ-ข้อความ..
“เคยเข้าใจผิดจากการสื่อสารที่คลาดเคลื่อน จนวันนี้ได้มีโอกาสได้มาพูดคุยกับอาจารย์หมอยง ท่านก็ได้เมตตาให้ความกระจ่างเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 เมื่อครั้งยังวิกฤต
ทำให้เรารู้ว่าทีมวิจัยวัคซีนทำงานหนักบนข้อจำกัดมากมายเพื่อให้คนไทยได้รับการดูแลที่ปลอดภัยที่สุด หลายเรื่องไม่เคยถูกสื่อสารออกมา และด้วยความร้อนรนของสังคม ณ เวลานั้น
ผู้คนจำนวนมากรวมทั้งเราเองก็อาจจะแสดงออกในทางที่ไม่ถูกไม่ควรกับอาจารย์ออกไปโดยเป็นการด่วนตัดสินไปตามอารมณ์หุนหันพลันแล่น
อาจารย์ให้เกียรติเราได้พบกันในห้องประชุมของทางโรงพยาบาลจุฬาฯ และได้ใช้เวลาพูดคุยอธิบายถึงสิ่งต่างๆ อย่างเป็นกันเอง โดยไม่มีวี่แววของความขุ่นเคืองเลยแม้แต่น้อย
จนเมื่อเราได้เอ่ยขอขมาที่ได้ล่วงเกินท่านไปตามที่ตั้งใจไว้ อาจารย์ก็บอกว่าไม่เคยถือโทษโกรธเคืองกันเลยสักนิด แต่ท่านเมตตารับเอาไมตรีจิตไว้
แล้วยังเอ่ยปากเชิญชวนให้มาพบกันอีกในอนาคต การพบกันในครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากการบังคับ หรือการมีคดีความอะไรต่อกันทั้งสิ้น
เป็นความสมัครใจ เมื่อมีโอกาสได้พบกับคุณพีท หลานชายของอาจารย์หมอและได้พูดคุยปรับความเข้าใจกันถึงประเด็นนี้
เราเลยอยากขอพบกับอาจารย์เพื่อได้รู้จักไถ่ถามความเป็นจริงโดยไม่ผ่านสื่อใดๆ และก็ได้รับเกียรติเป็นอย่างสูงจากอาจารย์หมอยงให้เข้าพบเจอ
และพบว่าท่านคือผู้ใหญ่ที่ทำงานหนักเพื่อวิทยาศาสตร์การแพทย์ และได้สร้างหลายสิ่งที่ควรจะได้รับการยกย่องไว้อย่างสง่างาม ขอบคุณทุกท่านที่ทำให้เกิดการพูดคุยในวันนี้ขึ้นมานะครับ
เป็นประสบการณ์ดีๆครั้งหนึ่งที่ทำให้รู้ว่าบางครั้งการด่วนตัดสินใจไปโดยที่ไม่รู้จักอาจจะพลาดโอกาสที่จะทำให้เราเปิดหูเปิดตาได้รู้ได้เห็นอะไรที่จะทำให้เรามองโลกนี้ได้กว้างขึ้น
ขออนุญาตปิดเมนต์นะ เพราะคนเขาคุยกันดีแล้ว รำคาญพวกมาแซะมาเสี้ยม”
งั้นก็.. โนคอมเมนต์แล้วกัน!