15 กรกฎาคม 2566 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวกับกลุ่มนักธุรกิจชาวไทยและต่างชาติในงานเลี้ยงของสโมสรโรตารี กรุงเทพใต้ ที่โรงแรมคราวน์พลาซ่า ลุมพินี
โดยฉายภาพการเมืองไทยในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อว่ารัฐสภากำลังหาจุดลงตัว เนื่องจากพรรคที่ได้คะแนนมาเป็นอันดับหนึ่งซึ่งมีที่นั่งในสภาไม่ถึงครึ่งนั้น เป็นพรรคที่มีนโยบายซึ่งเป็นข้อถกเถียงและเป็นพรรคเดียวที่นำเสนอนโยบายดังกล่าว จึงทำให้ยากจะได้รับการสนับสนุนจากวุฒิสมาชิก
แต่ตนเชื่อว่าในที่สุดประเทศไทยจะมีนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นที่ยอมรับด้วยเสียงเกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภา และมีรัฐบาลเสียงข้างมากที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ซึ่งในส่วนของพรรคภูมิใจไทยนั้น ตนได้แสดงจุดยืนชัดเจนไปแล้วว่าจะไม่สนับสนุนให้เกิดรัฐบาลเสียงอย่างน้อยอย่างเด็ดขาด
“ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา พรรคภูมิใจไทยประสบความสำเร็จในการได้ที่นั่งเพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 40% และเกือบทั้งหมดเป็นส.ส.เดิมของพรรคเรา
อย่างไรก็ดี เราตระหนักจากเสียงของประชาชนในการเลือกตั้งครั้งนี้ว่าพวกเขาต้องการความเปลี่ยนแปลง บริบทการเมืองไทยในวันนี้มีความขัดแย้งใหม่ๆ เกิดขึ้น จากความขัดแย้งสีเสื้อ พัฒนาเป็นความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับเผด็จการทหาร ต่อด้วยการแบ่งขั้วเสรีนิยม และอนุรักษ์นิยม
และล่าสุดมีการนำแนวทางใหม่ๆ มาใช้ในการหาเสียง สร้างสิ่งที่เรียกว่าการเมืองอัตลักษณ์ แบ่งคนเป็นกลุ่มๆแล้วไฮไลต์ความต้องการและความขัดแย้งเฉพาะกลุ่มขึ้นมา โดยเฉพาะการเน้นความแตกต่างระหว่างคนรุ่นเก่า รุ่นใหม่ ทำให้เกิดความแตกแยกมากมาย จนถึงระดับครู นักเรียนในโรงเรียน และเกิดเป็นความขัดแย้งภายในครอบครัวในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน”
นายอนุทิน ย้ำว่า ไม่ว่าจะสุดโต่งไปทางไหนก็ไม่ดีทั้งสิ้น ประเทศต้องการจุดสมดุล “ไทยเรามีหลายอย่างที่น่าภาคภูมิใจและควรอนุรักษ์ไว้ ในขณะที่เดินหน้าพัฒนาบ้านเมืองสู่ความทันสมัย เราไม่สามารถจะรับความคิดใหม่ๆเข้ามาโดยไม่ปรับให้เข้ากันกับคุณค่าที่มีอยู่เดิมในประเทศ” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยเชื่อว่าในที่สุดสังคมไทยจะเดินไปสู่ความสมดุลทางการเมือง
“นักการเมืองที่ดีจะต้องสามารถประสานคนในชาติให้เป็นหนึ่ง แม้จะมีความแตกต่างหลากหลาย แทนที่จะนำเอาอัตลักษณ์ที่แตกต่างมาตอกย้ำสร้างความแตกแยก เราควรทำให้เห็นว่าทุกคนสามารถนำความต่างที่มีอยู่มามีส่วนร่วมพัฒนาบ้านเมืองไปด้วยกันได้”
นอกจากนี้ นายอนุทิน ยังได้ให้ความมั่นใจกับนักลงทุนชาวต่างชาติในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขว่าประเทศไทยได้รับการจัดอันดับอยู่ในแถวหน้าด้านความมั่นคงทางสาธารณสุขมาตลอดสามปีที่ผ่านมา
โดยย้ำว่าตนเชื่อว่าความมั่นคงทางสาธารณสุขเป็นรากฐานสำคัญในการต่อยอดพัฒนาการด้านต่างๆ ทั้งหมด และสุขภาพที่ดีของประชาชนจะนำไปสู่ความมั่งคั่งได้ การอยู่ในแนวหน้าด้านสาธารณสุขของโลกนี้ทำให้วิสัยทัศน์ที่จะทำให้เมืองไทยกลายเป็นศูนย์กลางด้านสุขภาพของโลกเป็นจริงได้แน่นอนในอนาคตอันใกล้
สุดท้ายนายอนุทินกล่าวทิ้งท้าย แสดงความมั่นใจว่าประเทศไทยจะก้าวผ่านช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านทางการเมืองครั้งนี้ไปได้ด้วยดี “เราจะเดินต่อไปด้วยกันอย่างเข้มแข็ง เป็นประเทศไทยในเวอร์ชันที่ดีกว่าเดิม ขอให้ทุกท่านสบายใจได้”