สันต์ สะตอแมน
“ผมดีใจมากที่ได้หลานคนที่7..
เป็นชาย ชื่อ ธาษิณ จากน้องอิ๊งค์ แพทองธาร หลานทั้ง 7 คน คลอดในขณะที่ผมต้องอยู่ต่างประเทศ ผมคงต้องขออนุญาตกลับบ้านไปเลี้ยงหลาน
เพราะผมอายุจะ 74 ปี ในกรกฎานี้แล้ว พบกันเร็วๆ นี้ครับ ขออนุญาตนะครับ”
เนี่ย..นายทักษิณขอนุญาตใคร? ผมไม่ได้ถาม แต่คุณจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน ท่านสงสัย..
ถ้อยคำของทักษิณ ชินวัตร โพสต์ “ขออนุญาตกลับบ้านนะครับ” ถึงสองครั้งนั้น ขออนุญาตใคร เพราะทักษิณเป็นคนไทย ย่อมมีสิทธิเดินทางกลับไทยได้ทันทีที่ต้องการกลับ!
นั่นสิ ตอนแรกก็ไม่ได้สนใจหรือเอะใจ แต่เมื่อคุณจตุพรจุดประเด็นขึ้นมาก็ทำให้ผมพลอยคิดและสงสัยตามไปด้วย..
…ทักษิณ ขออนุญาตใคร..หือ?
ถ้าขออนุญาตประชาชนก็หมายรวมถึงผมคนหนึ่ง ก็ต้องบอกตรงนี้ว่า “อนุญาตครับกลับมาเลี้ยงหลานตามประสาคนแก่เถอะ”
อ้อ..ส่วนคุณจตุพรบอกว่า..ถ้าขออนุญาตกับประชาชนแล้ว ทักษิณไม่จำเป็นต้องขออนุญาตขออนุญาตกับรัฐบาล ทักษิณก็ไม่จำเป็นต้องขออนุญาต
เพราะรัฐบาลไมมีสิทธิ์ที่จะห้ามไม่ให้ทักษิณ เข้ามาในไทย หรือจะขออนุญาตต่อศาล ก็เลยการขออนุญาตไปแล้ว เนื่องจากคดีตัดสินเป็นที่สิ้นสุดแล้ว”
เออ..อย่างนี้ก็เข้าตำรา “ปากหาเรื่อง” คืออยู่ดีไม่ว่าดี ก็พูดหาเรื่องเข้าใส่ตัวเสียงั้น ก็เหมือนกันแคนดิเดตนายกฯพรรคเพื่อไทย คุณเศรษฐา ทวีสิน นั่นแหละ
คงหาเสียงเพลินไปหน่อยตามประสา มวยใหม่เพิ่งขึ้นเวทีครั้งแรก ต้องรีบโชว์ลีลา-ออกอาวุธเรียกเสียงเฮ เลยถูกมวยเก๋าอย่างคุณอนุทิน ชาญวีรกุล สวนเอาหลังถูกพาดพิง..
“นายเศรษฐา เป็นผู้ถูกเสนอชื่อให้เป็นแคนดิเดตนายกฯพรรคเพื่อไทย ต้องมีวุฒิภาวะมากกว่านี้ ถือเป็นปัญหาอย่างหนึ่งของผู้ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ทางการเมือง
จะไม่ค่อยรู้มารยาท ไม่รู้อะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูด ซึ่ง นายเศรษฐา คงต้องได้รับการอบรมปรับปรุงกันอีกมาก ซึ่งเป็นเรื่องของพรรคเพื่อไทย..
นายเศรษฐา พูดอะไรที่ตนเองไม่ได้ศึกษามามาก เช่น เรื่องเงินดิจิทัล เพราะการพูดอะไรทางการเมืองต้องศึกษากฎหมายด้วย
พรรคภูมิใจไทยไม่เคยเสนอกฎหมายกัญชาเสรี เช่นเดียวกับพรรคเพื่อไทยที่ผลักดันนโยบายกัญชาเพื่อการแพทย์ ทางเศรษฐกิจและทางสุขภาพไม่มีอะไรต่างกัน
พรรคเพื่อไทยเองก็เคยรับหลักการในร่างกฎหมายกัญชาที่พรรคภูมิใจไทยเสนอ ซึ่งเป็นสิ่งที่นายเศรษฐษ ไม่เคยรับทราบเพราะมาทีหลัง
คิดอะไรได้ก็พูด เพื่อที่จะสร้างชื่อชั้นทางการเมือง พูดไปเรื่อย เพราะมาจากวงนอก ส่วนจะดำเนินทางกฎหมายอย่างไร ผมคงไม่ไปเสียเวลาที่มีค่าของประชาชน
ที่อุตส่าห์มาฟังการปราศรัยด้วยการด่าทอ ด้อยค่า ว่ากล่าวให้ร้ายพรรคการเมืองคู่แข่ง ตรงนี้เป็นสิ่งที่อยากให้ประชาชนสั่งสอนนักการเมืองที่ปากไม่มีหูรูดแบบนี้ว่า
คุณจะต้องพูดในสิ่งที่เป็นประโยชน์กับประชาชน และต้องไม่ว่ากล่าวให้ร้ายซึ่งกันและกัน ต่างคนต่างนำเสนอนโยบาย ควรแสดงให้เห็นถึงความจริงใจในการทำประโยชน์ประชาชน”
ก็เป็นแค่การสอนมวยให้กับผู้อ่อนพรรษาทางการเมือง ซึ่งแน่ละคนมีความเชื่อมั่นสูงอย่างคุณเศรษฐามีหรือที่จะถ่อมตัวน้อมรับในตำติชม เพราะสิ้นคำคุณอนุทิน เขาก็ว่า
“โดยส่วนตัว ผมไม่ใช่คนที่จะไปขัดแย้งกับใคร นายเศรษฐา ทวีสิน เชื่อในการพูดคุยรับฟัง เพื่อประโยชน์ที่สูงที่สุดของพี่น้องประชาชน ผมก็พร้อมที่จะขัดแย้ง
ที่อาจทำให้ทางเดินทางการเมือง “แคบลง” เพื่อ “เปิดกว้าง” อนาคตให้กับลูกหลานมากกว่าที่จะเกรงใจคนนั้นคนนี้
เพื่อ “เปิดกว้าง” ทางการเมืองแต่ทำให้ทางออกอนาคตลูกหลานแคบลง”
ครับ..ก็คอยดูว่า “ความขัดแย้ง” ที่เป็นประโยชน์สูงสุดของประชาชน จะทำให้..
ทางเดินทางการเมือง “แคบลง” หรือไม่?