ไม่ลด แลก แจก แถม ไม่สนับสนุน ‘นโยบายให้ประชานิยมที่ไม่สมเหตุสมผล’ แต่เน้นไปที่ความยั่งยืน คือ หัวใจสำคัญในการจัดทำนโยบายของ ‘พรรคชาติไทยพัฒนา’ ในการสู้ศึกเลือกตั้งหนนี้
โดย ‘นิกร จำนง’ ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์พรรคชาติไทยพัฒนา ขมวดให้ฟังถึงที่มาของนโยบาย WOW Thailand ที่คุ้นหูผู้คนไปแล้วอีกครั้ง ว่า คำว่า WOW มาจาก Wealth Opportunity and Welfare For All หรือ การสร้างความมั่งคั่ง สร้างโอกาส และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีเพื่อประชาชน โดยพรรคชาติไทยพัฒนาได้คัด 10 เรื่อง ที่คิดว่าเป็นปัญหาในช่วงนั้นๆ ของประเทศมา 10 เรื่อง หรือ ท็อปเทน ครอบคลุมทุกมิติ
ประกอบด้วย 1.รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน (บรรหารโมเดล ปี 40) 2.เกษตรรุ่นใหม่ ขายคาร์บอนเครดิตได้ 3.แจกพันธุ์ข้าวฟรีทั่วประเทศ 60 ล้านไร่ 4.ขยายเขตไฟฟ้าการเกษตรทั่วประเทศหน่วยละ 2 บาท 5.ระบบบาดาลขนาดใหญ่ทุกตำบล น้ำสะอาดทุกหมู่บ้าน 6.งบลงทุนท้องถิ่น 10 ล้านบาท 7.เรียนในสิ่งที่ใช่ ใช้ในสิ่งที่เรียน 8.สุขภาพดีมีเงินคืน 3,000 บาท-สวัสดิการอัปเกรดได้ 9.สร้างงานสร้างรายได้แก่ผู้สูงอายุ-เบี้ยคนพิการเดือนละ 3,000 บาท และ10.ขนส่งมวลชน เข้าถึง เท่าเทียม
ทั้งนี้ ‘นิกร’ ได้อธิบายถึงการนำเรื่องรัฐธรรมนูญมาเป็นนโยบายแรกของพรรคว่า เพราะประเทศติดหล่มความขัดแย้งมานาน แม้รัฐธรรมนูญปี 2560 จะผ่านการทำประชามติ แต่ประชาชนที่ไม่รับร่างมีจำนวนมาก จึงคิดว่าจะต้องมีรัฐธรรมนูญที่ประชาชนยอมรับ โดยจะใช้โมเดลปี 2540 คือ
1.ให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ขึ้นมายกร่างรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่รัฐแต่งตั้งคนให้เป็นคณะกรรมการแล้วไปยกร่างรัฐธรรมนูญ แต่ต้องได้รับการยอมรับจากประชาชน ต้องเป็นฉบับประชาชนโดยแท้จริง
2.ประเด็นที่จะยกร่าง ในสมัยนายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกรัฐมนตรีทำ ท่านไม่มีธง ไม่มีความคิดว่าจะเอาอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ประชาชนจะเป็นผู้กำหนดเองว่าจะเอาอย่างไรบ้าง ขณะเดียวกัน รัฐธรรมนูญจะใช้คำว่าไม่แก้ไขเลยไม่ได้ ต้องสามารถแก้ไขได้ ต้องแก้ง่าย ส่วนหมวด 1 และหมวด 2 ที่เกี่ยวกับความมั่นคงและสถาบันพระมหากษัตริย์ ต้องทำประชามติ ให้ประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วย ซึ่งหมวดนี้ไมได้มีปัญหาอะไร หากใครคิดไปทำอะไร ประชาชนคงไม่ยอม เพราะเราปกครองภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข อีกประเด็นสำคัญ ที่พรรคชาติไทยพัฒนาจะผลักดันคือ เรื่องการกระจายอำนาจ การให้ประชาชนสามารถมีอำนาจได้ ซึ่งในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันไม่มีคำนี้สักคำเดียว เป็นเรื่องที่เราจะผลักดันให้มี เพราะประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจ
“รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายแม่บท มีการฉีกมา 20 กว่าฉบับ เพราะแก้ได้ยาก ฉะนั้น ต้องมีบางส่วนที่ต้องปรับปรุงแก้ไขให้เป็นไปตามการหมุนของโลก ต้องทำให้แก้ง่าย เช่น ใช้เสียง 2 ใน 3 ของสองสภา ไม่ใช่กำหนดว่าต้องใช้เสียง ส.ว. 84 เสียงให้ความเห็นชอบด้วย เราไม่เอาคะแนนเสียงอีกสภาหนึ่งไปครอบอีกสภาหนึ่งที่มาจากประชาชน ซึ่งมันไม่ถูกต้องเป็นอย่างยิ่ง ต้องเป็นสองสภาช่วยกันคิด ดังนั้น มันต้องแก้ไขง่าย ไม่ใช่ผูก ถ้าเป็นแบบเดิมวิธีแก้คือ ต้องฉีก เราฉีกกันมาพอแล้ว”
อดีตเลขานุการคณะกรรมาธิการวิสามัญแก้ไขรัฐธรรมนูญ และกฎหมายลูก ยังเชื่อว่า การยกร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นฉบับที่ประชาชนยอมรับจะช่วยลดความขัดแย้งได้
“รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่มีปัญหาเพราะคนไม่ยอมรับในเนื้อหา คนมองว่าไม่เป็นประชาธิปไตย ที่มาทำให้คนยอมรับไม่ได้ ฉะนั้น การกลับไปแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นของประชาชน ตัวประชาชนจะยอมรับเขาเอง มันเป็นความสมานฉันท์ของคนทั้งประเทศที่จะออกกฎหมายของเขาเอง พอผ่านตรงนี้เสร็จ ผมเชื่อว่าทุกอย่างจะเย็นเอง ความขัดแย้งจะสลายไป ต่างคนต่างทำหน้าที่ตัวเอง เป็นกุญแจไขออกไปจากความขัดแย้ง การปฏิบัติตามกฎหมายจะดีขึ้น ก้าวพ้นไปจากความขัดแย้ง”
นอกจากเรื่องรัฐธรรมนูญแล้ว ‘นิกร’ ยังพูดถึงนโยบายอื่นๆ ของพรรค อย่างเช่น นโยบายเกษตรรุ่นใหม่ ขายคาร์บอนเครดิตได้ ว่า เป็นนโยบายที่คาบเกี่ยวกันระหว่างเกษตรและสิ่งแวดล้อม นายวราวุธ ศิลปอาชา หัวหน้าพรรค คิดขึ้นมาเพื่อหวังจะให้นโยบายนี้เป็นหนึ่งในการลดภาวะโลกร้อน โดยเราประกาศจะตั้งศูนย์กลางคาร์บอนเครดิตในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่มีมาตรฐานด้านการวัด ประเมิน กำหนดเกณฑ์มาตรฐาน การรับรองผลการตรวจประเมิน การสร้างตลาดซื้อ-ขาย คาร์บอนเครดิต และการร่วมมือ วิจัย และพัฒนาเทคโนโลยีด้านคาร์บอนเครดิต โดยมีประเทศไทยเป็นแกนหลักในภูมิภาคอาเซียน นโยบายนี้ลงทุนแค่ 9 พันล้านบาท แต่จะมีรายได้ใหม่ อาชีพใหม่ ปีละแสนล้านบาท เพราะเกษตรกรสามารถขายคาร์บอนเครดิตได้
ไม่เพียงเท่านั้น พรรคชาติไทยพัฒนา ยังมีนโยบายแจกพันธุ์ข้าวฟรีทั่วประเทศ 60 ล้านไร่ โดยจะแจกพันธุ์ข้าวฟรี และเป็นพันธุ์ข้าวที่ดี เพื่อลดต้นทุนการผลิต จะทำให้ชาวนามีรายได้เพิ่มขึ้น 30% และพันธุ์ข้าวจะดีขึ้น นอกจากนี้ ยังจะให้เงินอีก 1 พันบาทสำหรับปรับปรุงดินอีกด้วย
ขณะเดียวกัน ‘นิกร’ ยังย้ำจุดยืนด้วยว่า ไม่สนับสนุนโครงการให้ประชานิยมที่ไม่สมเหตุสมผล เนื่องจากจะสร้างปัญหาให้อนาคต เงินพวกนี้มาจากการกู้ หากรัฐใช้เงินอย่างไม่มีวินัย วันหนึ่งหากเงินขาดมือจะนำไปสู่การปรับขึ้นภาษี ทั้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีนิติบุคคล จะกลายเป็นภาระให้กับคนที่ต้องเสียภาษีเหล่านี้ ซึ่งมีอยู่จำนวนน้อยอยู่แล้ว นอกจากนี้ อาจนำไปสู่การปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มที่จะกระทบกับประชาชนทั่วไป โดยปัจจุบันมีการออกกฎหมายพิเศษมาลดให้เหลือ 7% เป็นการชั่วคราวเพื่อช่วยเหลือประชาชน จากปกติกฎหมายบัญญัติไว้ที่ 10 % แต่อาจจะกลับไปเป็น 10% ตามกฎหมาย ดังนั้น หากเป็นแบบนี้จะเดือดร้อนกันถ้วนหน้า อย่าว่าส่งผลกระทบต่อรุ่นลูกรุ่นหลานเลย แต่ปัจจุบันนี่แหละจะได้รับผลกระทบ
“เราไม่เห็นด้วยกับนโยบายให้ประชานิยมที่ไม่สมเหตุสมผล มันไม่ยั่งยืน เป็นการหาเสียงให้คนมาลงคะแนนให้ ซึ่งไม่ดีเลย ไม่มีคุณธรรมทางการเมือง จะสร้างปัญหาต่อไปในอนาคต”
ขณะที่ยุทธศาสตร์ของพรรค ‘นิกร’ ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์พรรค เปิดเผยว่า ใช้ยุทธศาสตร์ ‘ผู้นำ’ คือ นายวราวุธ หัวหน้าพรรค เนื่องจากมีลักษณะผู้นำที่ดีมาก เทียบกับใครได้ทั้งหมดในสนามเลือกตั้ง มี ‘ราก-บนพื้น-ส่วนยอด’ ที่ครบเครื่อง
“นายวราวุธมีรากที่ลึก เป็นลูกนายกฯ เคยอยู่ในการเมือง เห็นพ่อทำงานให้ประชาชนมา มีความลึกซึ้งอยู่ในดีเอ็นเอ ส่วนบนพื้นที่ นายวราวุธเป็นคนติดดิน รับฟังตั้งแต่ในพรรคและประชาชนภายนอก จึงเป็นที่มาของคำว่า ‘รับฟัง ทำจริง’ ส่วนยอดของเขา นายวราวุธเติบโตที่สหรัฐอเมริกาและประเทศไทย มีความสามารถในการสื่อสาร ได้รับคำชื่นชมจากต่างชาติในเรื่องสิ่งแวดล้อม ผู้นำคนนี้ของพรรคเราไม่แพ้ใคร เขาเป็นคนหนุ่มที่มีประสบการณ์มาก เราจะใช้ยุทธศาสตร์นี้”
นายนิกร ยังกล่าวว่า นายวราวุธเป็นไอดอลของคนรุ่นใหม่หลายคน มีความสามารถ เป็นคนเก่ง และสนใจในสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นนโยบายในอนาคตของคนรุ่นใหม่ มีประสบการณ์คือ เป็นรัฐมนตรีมาแล้ว 2 ครั้ง
ขณะเดียวกัน พรรคชาติไทยพัฒนา ยังขับเคลื่อนแบบ ‘collective leadership’ คือ ในขณะที่นายวราวุธเป็นผู้นำ แต่มีบุคลากรในพรรคที่เป็นผู้นำด้านต่างๆ อยู่ในทีม หรือ ‘ท็อปทีม’
ประธานคณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์พรรค ยังประกาศเป้าหมายด้วยว่า ไม่เกิน 8 ปี ประเทศไทยจะมีนายกฯที่ชื่อ ‘วราวุธ’
“เป้าหมายในการเลือกตั้งของเราคือ ไม่เกิน 8 ปี นายวราวุธควรจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี เราเชื่อว่าเป็นได้ รับใช้ประเทศได้เหมือนกับพ่อเขาที่เคยเป็น การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นบันไดขั้นหนึ่งของเราที่จะเดินขึ้นไป ครั้งนี้เราอยากได้ 25 ที่นั่งก่อน เพื่อให้เสนอแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีได้ ไม่ให้แคนดิเดตนายกฯของเราไม่หายไป เราไม่ไปชิงกับใคร เพราะยังไม่ถึงเวลา แต่เราต้องข้ามไปยืน ณ อีกจุดหนึ่งก่อน”