เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2565 นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. (เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด) และ Ms.Davina Copelin ผู้แทนสำนักงานตำรวจสหพันธ์ออสเตรเลีย (Australian Federal Police – AFP) ประชุมออนไลน์กับ พลตำรวจเอก เมียะส์ วิฤทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการต่อสู้ยาเสพติดแห่งชาติกัมพูชา (National Authority for Combating Drugs : NACD) รับทราบความคืบหน้าในการสืบสวนขยายผลจากกรณีจากการจับกุมยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ไอซ์) ซุกซ่อนในเครื่องปริ้นเตอร์สภาพเก่า เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2565
สืบเนื่องจากการจับกุม น.ส. อัจฉราวรรณ แก่นจันทร์ เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2565 พร้อมของกลางยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ไอซ์) น้ำหนัก 989 กรัม ที่ซุกซ่อนในเครื่องปริ้นเตอร์สภาพเก่า โดยส่งมาในรูปแบบพัสดุภัณฑ์จากต้นทางประเทศกัมพูชา ปลายทางเตรียมส่งไปยังประเทศออสเตรเลีย
จากการสอบปากคำผู้ต้องหาให้การยอมรับว่า ก่อนหน้านี้เคยรับและส่งยาเสพติดในลักษณะนี้ไปยังประเทศออสเตรเลีย จำนวน 4 ครั้ง รวมทั้งยังมีส่วนร่วมทำหน้าที่โอนเงินค่าขนส่งให้กับขบวนการยาเสพติด
จากการสืบสวนการขนส่งยาเสพติดนี้ทำเป็นขบวนการ โดยมี น.ส.อัจฉราวรรณฯ เป็นผู้รับ-ส่ง และโอนเงิน
โดยพบว่ามีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายนักค้ายาเสพติดชาวแอฟริกันตะวันตก ที่ใช้หญิงไทยเป็นเครื่องมือในการลักลอบส่งออกพัสดุภัณฑ์ซุกซ่อนยาเสพติดไปยังต่างประเทศ ซึ่งทางประเทศไทย และกัมพูชาจะสืบสวนต่อเพื่อจับกุมผู้เกี่ยวข้องที่ร่วมขบวนการต่อไป
นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวว่า ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญการแก้ไขปัญหายาเสพติดทั้งในประเทศ และปัญหายาเสพติดระหว่างประเทศที่ส่งผลต่อภาพลักษณ์ประเทศไทย
ซึ่งนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้สั่งการให้ สำนักงาน ป.ป.ส ร่วมมือกับต่างประเทศในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิด และเฝ้าระวังกรณียาเสพติดข้ามชาติที่ใช้ประเทศไทยเป็นจุดกระจายในการรับ – ส่งยาเสพติด อันเนื่องจากไทยมีที่ตั้งใกล้แหล่งผลิต และมีการขนส่งคมนาคมที่ดี
นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวอีกว่า การจับกุมนางสาวอัจฉราวรรณ เป็นเพียงจุดเริ่มเท่านั้น ซึ่งทั้ง 3 ประเทศจะร่วมกันในเชิงข้อมูลเพื่อให้การสืบสวนจนสามารถนำผู้เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะการจัดการกับผู้บงการเพื่อทำลายแก๊งค์ยาเสพติดนี้ต่อไป
โดยในกรณีนี้ เป็นลักษณะที่ชาวต่างชาติใช้หญิงไทยเป็นเครื่องมือ ซึ่งเป็นวิธีที่ขบวนการยาเสพติดต่างชาติมักใช้ จึงอยากฝากเรื่องนี้ไว้เป็นอุทาหรณ์หญิงไทย ให้ระวังการตกเป็นเหยื่อเช่นกรณีดังกล่าวด้วย
เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวในตอนท้ายว่า “ ตามประมวลกฎหมายยาเสพติดใหม่ กรณีนี้ผู้ต้องหารายดังกล่าวนอกจากอาจมีความผิดฐาน นำเข้า ส่งออกยาเสพติด ยังอาจถือว่ามีความผิดฐานสมคบ และ รับจ้างทำธุรกรรมการเงิน ซึ่งแม้แต่ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวยาเสพติดแต่เป็นผู้ทำธุรกรรมให้กับขบวนการยาเสพติดก็ถือว่ามีความผิด
จึงอยากฝากถึงประชาชนในจุดนี้ด้วยว่าการใช้ชื่อ นามสกุล ของตนเปิดบัญชี หรือทำธุรกรรมทางการเงินให้ผู้อื่น ห้ามเด็ดขาด เพราะอาจตกเป็นเหยื่อของขบวนการค้ายาเสพติด การยินยอมหรือรับจ้างผู้อื่นเปิดบัญชี เพื่อใช้ในการรับโอนเงินค่ายาเสพติดมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปีและปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาทหรือทั้งจำและปรับ”