กระทรวงสาธารณสุข เผย สถานการณ์โควิด 19 พบแนวโน้มผู้ป่วยอาการหนักและเสียชีวิตเพิ่มขึ้น แต่อยู่ในการคาดการณ์ ย้ำสงกรานต์ต้องเข้มมาตรการเพื่อลดการติดเชื้อ พร้อมขอลูกหลานพาผู้สูงอายุมารับวัคซีนเข็มกระตุ้น ลดอาการรุนแรงและเสียชีวิตได้ โดยกระจายวัคซีนไฟเซอร์ 3 ล้านโดส ถึงระดับ รพ.สต. เพิ่มความสะดวกการเข้ารับวัคซีน แนะเด็กมัธยม 12-17 ปี ฉีดเข็มกระตุ้นก่อนเปิดเทอม เลือกได้ทั้งเต็มโดสหรือครึ่งโดส
เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2565 ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงข่าว การคาดการณ์สถานการณ์โควิด 19 หลังสงกรานต์ ว่า
ขณะนี้ทั่วโลกยังมีการติดเชื้อโควิด 19 สูง จึงยังต้องระมัดระวัง โดยหลายประเทศที่ควบคุมได้ดี มีการผ่อนคลายมาตรการ เริ่มกลับมามีผู้เสียชีวิตในอัตราที่สูงมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศแถบยุโรปและประเทศเกาหลีใต้ สำหรับประเทศไทย มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เฉลี่ย 14 วัน ประมาณ 2 หมื่นกว่าราย ผู้ป่วยอาการหนักและเสียชีวิตมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นช้าๆ จึงยังต้องเข้มมาตรการป้องกันการติดเชื้อและการฉีดวัคซีน
ทั้งนี้ ภาพรวมสถานการณ์ทั้งหมดยังเป็นไปตามระดับการคาดการณ์ ที่มีการร่วมมือของประชาชนอยู่ในระดับที่ดี หากคงมาตรการต่างๆ ไว้ได้ ก็จะควบคุมการระบาดได้อย่างต่อเนื่องจนถึงช่วงเทศกาลสงกรานต์ อย่างไรก็ตาม หลังเทศกาลสงกรานต์ หากมีการรวมตัวทำกิจกรรมโดยไม่เว้นระยะห่าง หรือหย่อนมาตรการ ก็อาจมีตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นได้
สำหรับผู้เสียชีวิตยังเป็นผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป มีโรคประจำตัว และไม่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น ดังนั้น ช่วงเทศกาลสงกรานต์ ทั้งก่อนเดินทาง ระหว่างเทศกาล และช่วงเดินทางกลับ ขอให้ประชาชนป้องกันตนเองทั้งจากโควิด 19 และอุบัติเหตุ
โดยก่อนเดินทางต้องทำตนเองให้ปราศจากเชื้อ (Self Clean Up) ตรวจ ATK ก่อนเดินทาง ระหว่างสงกรานต์ขอให้เข้มมาตรการป้องกันตนเองตลอดเวลา ผู้สูงอายุควรรับวัคซีนให้ครบก่อนร่วมกิจกรรมและหลังเทศกาล ให้สังเกตอาการตนเอง 7 วัน หากมีอาการของระบบทางเดินหายใจ ควรตรวจ ATK หลีกเลี่ยงพบปะผู้คนจำนวนมาก ทำงานที่บ้านตามความเหมาะสม ส่วนการลดอุบัติเหตุให้ใช้มาตรการ 3 ม. 3 ด่าน
นพ.โอภาสกล่าวต่อว่า สาเหตุที่ทำให้ผู้สูงอายุไม่ได้รับวัคซีน คือ
1.การเดินทางไปรับวัคซีนลำบาก
2.กลัวผลข้างเคียง และ
3.ลังเลที่จะฉีดเข็มกระตุ้น
ดังนั้น ช่วงสงกรานต์ที่ลูกหลานกลับภูมิลำเนา ขอให้ถือโอกาสพาผู้สูงอายุ ญาติผู้ใหญ่ที่บ้านไปรับวัคซีนที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขกระจายวัคซีนทั้งไฟเซอร์และแอสตร้าเซนเนก้าไปถึง รพ.สต. เพื่อให้ใกล้บ้านที่สุด
โดยวัคซีนไฟเซอร์ 3 ล้านโดส เป็นรุ่นฝาสีเทาซึ่งเหมาะกับการนำไปฉีดที่รพ.สต. เนื่องจากไม่ต้องผสมน้ำเกลือก่อนฉีด และสามารถเก็บในอุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส ได้นานขึ้นจาก 4 สัปดาห์ เป็น 8-10 สัปดาห์ ซึ่งการฉีดเข็มกระตุ้นเพิ่มขึ้น จะช่วยลดการติดเชื้อและการเสียชีวิตได้มากขึ้น
ส่วนกลุ่มเด็กมัธยมศึกษาอายุ 12-17 ปี ขณะนี้เข้าสู่ระยะที่ต้องมีการฉีดวัคซีนโควิด 19 เข็มกระตุ้นแล้วเช่นกัน จึงแนะนำให้รับวัคซีนก่อนเปิดเทอมช่วงเดือนพฤษภาคมนี้ โดยสามารถเลือกรับได้ทั้งแบบเต็มโดสหรือครึ่งโดส ซึ่งทั้งสองแบบมีประสิทธิภาพในการเพิ่มภูมิคุ้มกันไม่แตกต่างกัน แต่การฉีดครึ่งโดสจะมีผลข้างเคียงจากวัคซีนน้อยกว่า
โดยกลุ่มเด็กที่สุขภาพปกติ จะฉีดโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน ส่วนกลุ่มเด็กป่วยสามารถรับบริการในโรงพยาบาลที่รักษาได้ ขณะที่เด็กประถมศึกษาอายุ 5-11 ปี ฉีดเข็มแรกไปแล้ว จะฉีดเข็มสองห่างจากเข็มแรกประมาณ 8 สัปดาห์ ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการเร่งรัดฉีดเพื่อรองรับการเปิดเทอมต่อไป