11 เมษายน 65 เวลา 11.00 น.
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดงานและร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ รูปแบบออนไลน์ระหว่างกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงอุตสาหกรรมและพาณิชย์ รัฐเตลังคานา สาธารณรัฐอินเดีย
พร้อมด้วยนายสินิตย์ เลิศไกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และคณะผู้บริหารระดับสูงกระทรวงพาณิชย์ พร้อมตัวแทนภาคเอกชน ที่ ห้องบุรฉัตรไชยากร ชั้น 4 ตึกสำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ โดยอีกฝ่ายเป็นกระทรวงอุตสาหกรรม และพาณิชย์ รัฐเตลังคานา สาธารณรัฐอินเดีย โดยเป็นภารกิจผ่านออนไลน์ด้วยระบบ Zoom Conference
นายจุรินทร์ กล่าวว่า เป็นที่ทราบกันดีว่า ไทยและอินเดียมีความผูกพันเชื่อมโยงกัน อย่างแนบแน่นในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าด้านประวัติศาสตร์ ศาสนา วรรณกรรม วัฒนธรรมและธรรมเนียมปฏิบัติด้านเศรษฐกิจ อินเดีย เป็นหนึ่งในพันธมิตรทางการค้า ที่สําคัญยิ่งของไทย ด้วยขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็น อันดับ 6 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น เยอรมนี และสหราชอาณาจักร และจํานวนประชากรกว่า 1,300 ล้านคน
อินเดียเป็นประเทศคู่ค้าสําคัญอันดับที่ 11 ของไทย และเป็นประเทศคู่ค้า อันดับที่ 1 ของไทยในภูมิภาคเอเชียใต้ ขณะที่ไทยเป็นประเทศคู่ค้าอันดับที่ 4 ของอินเดียในภูมิภาคอาเซียน โดยในปี พ.ศ. 2564 การค้าระหว่างไทยและอินเดียมีมูลค่า 14,940 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 474,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 52.52 จากปีก่อน
ตนเชื่ออย่างยิ่งว่าความสัมพันธ์ ด้านการค้าและการลงทุนระหว่างไทยและอินเดียยังคงมีศักยภาพ และโอกาสที่จะเติบโตเพิ่มขึ้นได้อีกมากภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น
ก่อนที่จะเกิดสถานการณ์การแพร่ ระบาดของโควิด-19 ตนได้นําคณะผู้แทนการค้าของไทย เยือนอินเดีย รวม 2 ที่เมืองมุมไบและเมืองเจนไน และครั้งที่ 2 ที่เมืองเบงการูลู และเมืองไฮเดอราบัด รัฐเตลังคานา ตนให้ความสําคัญกับการเสริมสร้างและพัฒนาความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เชิงเศรษฐกิจระหว่างไทยและอินเดียมากเพียงใด โดยเฉพาะการเดินทางเยือนอินเดียครั้งที่ 2 เมื่อปี พ.ศ. 2563
ได้มีโอกาสเยือนเมืองไฮเดอราบัด รัฐเตลังคานาเป็นครั้งแรก และประทับใจ ถึงการพัฒนาเมืองใหม่ การเข้ามาลงทุนของบริษัทต่างชาติที่มีชื่อเสียง รวมถึงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน และสาธารณูปโภคที่ทันสมัย ถึงภาพลักษณ์ของอินเดียยุคใหม่ ตลอดจนการเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมไอที และอุตสาหกรรมยาของอินเดีย จนได้รับการขนานนามว่า “ไซเบอราบัด”และ “จีโนมวัลเลย์”
และสิ่งพิเศษที่สุดได้มีโอกาสพบกับท่านรัฐมนตรี KTR ของรัฐเตลังคานาเป็น ครั้งแรก เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2563 โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องร่วมกันว่า ไทยและอินเดียควรพิจารณาจัดทําข้อตกลงการค้าเชิงลึกระหว่างกันมากยิ่งขึ้น นอกเหนือจากความตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ไทย-อินเดีย และอาเซียน- อินเดีย ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงพาณิชย์ที่ต้องการขยาย ความร่วมมือด้านการค้าการลงทุนระหว่างไทยกับรัฐบาลระดับรัฐ มณฑล หรือเมืองรองของประเทศคู่ค้า
โดยทั้งสองฝ่ายต่างมุ่งหวังให้เกิดการอํานวยความสะดวกด้านการค้า และการลงทุนระหว่างไทยและรัฐเตลังคานา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การให้สิทธิ ประโยชน์ด้านการลงทุนต่าง ๆ กรณีนักลงทุนไทยเข้าไปลงทุนในอุตสาหกรรม เป้าหมายของรัฐเตลังคานา อาทิ การแปรรูปอาหาร เฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น
การแลกเปลี่ยนความร่วมมือด้านเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพผ่านศูนย์บ่มเพาะธุรกิจและระบบนิเวศด้านนวัตกรรม เพื่อการพัฒนาสตาร์ทอัพของรัฐเตลังคานา ที่มีชื่อว่า “T-Hub” ซึ่งจะเป็นโอกาสอันดีของไทยในการเรียนรู้ เพื่อนํามาพัฒนาศักยภาพของ สตาร์ทอัพไทยให้เติบโตและแข่งขันในระดับสากลตลอดจนการเชื่อมโยงแพลตฟอร์มดิจิทัล “
Thaitrade.com” ของไทยเข้ากับ Telangana State GlobalLinker”ของรัฐเตลังคานา เพื่อขยายเครือข่ายธุรกิจของแต่ละฝ่ายได้มากยิ่งขึ้น
“การลงนามบันทึกความเข้าใจในครั้งนี้ ถือเป็นการลงนามครั้ง ประวัติศาสตร์ระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับรัฐบาลระดับรัฐของอินเดียเป็น ครั้งแรก ขณะนี้ กําลังมีการจัดโครงการส่งเสริม การจําหน่ายสินค้าไทยร่วมกับซูเปอร์มาร์เก็ตรีไลแอนซ์ ที่เมืองไฮเดอราบัด รัฐเตลังคานา รวม 17 สาขา
ซึ่งถือได้ว่าเป็นการประเดิมการดําเนินความร่วมมือภายใต้บันทึกความเข้าใจฉบับนี้ นอกจากนี้ การจัดพิธีลงนาม MOU ในวันนี้ ถือเป็นหนึ่งในกิจกรรมพิเศษเพื่อร่วมเฉลิมฉลองวาระสําคัญแห่งการครบรอบ 75 ปีแห่งความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-อินเดียในปีนี้ด้วย” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าว
ทางด้านอินเดีย นายคาลวากุลท์ลา ทารากา รามา เรา รัฐมนตรีบริหารเทศกิจ พัฒนาชุมชนเมือง อุตสาหกรรม เทคโนโลยี สารสนเทศและพาณิชย์ (KTR)รัฐเตลังคานา ผู้แทนรัฐบาลเตลังคานา สาธารณรัฐอินเดีย กล่าวว่า
ตนยังคงจำเหตุการณ์เมื่อ 2 ปีที่แล้วก่อนที่พวกเราจะต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในครั้งนั้น รัฐเตลังคานาได้รับเกียรติจากการเดินทางเยือนอย่างเป็นทางการของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของไทย
โดยในช่วงการเดินทางเยือนเมืองไฮเดอราบัดเมื่อเดือนมกราคม 2563 ท่านจุรินทร์และตนได้หารือร่วมกันอย่างบังเกิดผลสำเร็จถึงแนวทางที่เป็นไปได้ในการขยายความร่วมมือและการอำนวยความสะดวกด้านการค้าและการลงทุนระหว่างไทยและรัฐเตลังคานา ตนมีความดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ในที่สุด พวกเราได้เดินทางมาถึงวันนี้ที่การลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลของทั้งสองฝ่ายกำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้
ตนสามารถยืนยันแก่ทุกท่านได้ว่า ความร่วมมือภายใต้บันทึกความเข้าใจฉบับนี้ครอบคลุมแทบทุกสาขา นับตั้งแต่การลงทุนจนถึงแพลตพอร์มต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องซึ่งจะมีส่วนต่อการพัฒนาและการเจริญเติบโตของบริษัทไทยที่วางแผนเข้ามาลงทุนในรัฐเตลังคานา
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการไทยยังจะได้รับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่เสนอให้โดยรัฐเตลังคานา อาทิ การอำนวยความสะดวกให้ได้รับอนุมัติจัดตั้งธุรกิจในรัฐเตลังคานาอย่างรวดเร็ว รวมถึงความช่วยเหลือในการจัดหาแรงงานและการจัดซื้อจัดจ้างสำหรับภาคอุตสาหกรรมการผลิตและการบริการ ในนามของรัฐบาลเตลังคานา
ตนมีความเชื่อมั่นว่าบันทึกความเข้าใจฉบับนี้จะเป็นแรงผลักดันสำหรับความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนระหว่างทั้งสองรัฐบาลในอนาคต อันจะนำมาซึ่งการขยายตัวอย่างยั่งยืนของการค้าทวิภาคีระหว่างประเทศอันเป็นที่รักของเราทั้งสองประเทศในระยะยาวสืบไป