17 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 14.00 น. ณ ตึกสันติไมตรีหลังนอก ทำเนียบรัฐบาล ประธานหอการค้าร่วมต่างประเทศในประเทศไทย (Joint Foreign Chambers of Commerce in Thailand: JFCCT) และคณะ เข้าเยี่ยมคารวะพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือนายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับ พร้อมแสดงความยินดีที่ได้พบกับคณะจาก JFCCT อีกครั้ง ทราบว่าที่ผ่านมา ผู้บริหารและสมาชิกได้เข้าพบหารือกับผู้บริหารและหน่วยงานภาครัฐมาโดยตลอดเพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้า การลงทุน และแก้ไขปัญหาที่ยังเป็นอุปสรรคระหว่างกัน จากสถานการณ์โควิด-19 ส่่งผลกระทบต่อการดำเนินกิจกรรมของทุกภาคส่วนทั่วโลกเป็นอย่างมาก รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ และพยายามออกมาตรการที่สามารถสร้างความสมดุลระหว่างความปลอดภัยทางสาธารณสุขกับการขับเคลื่อนทางธุรกิจให้ดำเนินต่อไปได้
โดยรัฐบาลเห็นว่า ภาคเอกชนจะยังคงมีส่วนสำคัญยิ่งในการช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยในช่วงหลังการฟื้นตัวจากโควิด-19 โดยเฉพาะในโอกาสที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม APEC โดยมีแนวคิดเศรษฐกิจ BCG Model เป็นแนวคิดพื้นฐาน
ด้านประธาน JFCCT กล่าวว่า ตนและคณะยินดีที่ได้เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรีในวันนี้ ขอบคุณรัฐบาลสำหรับการสนับสนุนและส่งเสริมการลงทุนทางการค้าในตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ซึ่งได้ทำงานใกล้ชิดกับหน่วยงานไทย โดยเฉพาะสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ JFCCT ย้ำถึงความเชื่อมั่นในการดำเนินนโยบายของนายกรัฐมนตรี
อาทิ นโยบายการเปิดประเทศของไทย นโยบาย Thailand 4.0 แผนการพัฒนาดิจิทัล และระบบ Test & Go ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการค้าการลงทุน และในภาคส่วนต่าง ๆ ได้อย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ ยังเห็นพ้องกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่รัฐบาลไทยเน้นย้ำ ซึ่งทาง JFCCT ยินดีที่จะร่วมลงทุนกับประเทศไทย เพื่อผลประโยชน์ร่วมกันที่คำนึงการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามแนวคิดพลังงานสีเขียวอีกด้วย นอกจากนี้ยังพร้อมให้การสนับสนุนด้านการพัฒนาทักษะของทรัพยากรบุคคล (Upskill-Reskill) ผ่านการอบรม และใช้เทคโนโลยี นวัตกรรมต่าง ๆ ซึ่งจะถ่ายทอด แลกเปลี่ยนประสบการณ์ร่วมกันต่อไป
โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือในหลายประเด็น ได้แก่
– นโยบายประเทศไทย 4.0 การเปลี่ยนแปลงด้านดิจิทัล และ การสร้างความทันสมัยทางเศรษฐกิจ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องถึงความสำคัญของการเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิทัล โดยไทยมีเป้าหมายในการสร้างความทันสมัยทางเศรษฐกิจ และได้กำหนดให้ “ประเทศไทย 4.0” เป็นแนวนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อเปลี่ยนประเทศไทยไปสู่เศรษฐกิจฐานความรู้ที่เน้นการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ซึ่งที่ผ่านมาที่ผ่านมาได้ดำเนินการขับเคลื่อนประเทศไปในหลายด้าน ด้านประธาน JFCCT ยินดีที่ไทยให้ความสำคัญกับการยกระดับธุรกิจทุกขนาด โดยเฉพาะธุรกิจ SMEs รวมถึงส่งเสริมการลงทุนเพื่อสนับสนุนการปรับเปลี่ยนประเทศไทยสู่เศรษฐกิจดิจิทัล โดย JFCCT มีเครือข่ายและผู้เชี่ยวชาญที่มีศักยภาพจำนวนมาก จึงพร้อมมีส่วนร่วมในการผลักดันการสนับสนุนการประยุกต์ใช้ดิจิทัลในประเทศไทยผ่าน การร่วมลงทุน และการแลกเปลี่ยนความรู้ เทคโนโลยี ผู้เชี่ยวชาญ และประสบการณ์ร่วมกับภาครัฐ และเอกชนไทย
– นโยบายสีเขียว BCG Model และการเป็นเจ้าภาพเอเปคของไทยในปี 2565 ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องว่า การพัฒนาที่ยั่งยืนถือเป็นประเด็นที่ควรส่งเสริมและให้ความสำคัญ ซึ่งนายกรัฐมนตรีย้ำว่า ประเด็นนี้เป็นประเด็นที่รัฐบาลให้ความสำคัญมาโดยตลอด โดยปัจจุบันมีโมเดลเศรษฐกิจ BCG เป็นแนวทางการพัฒนาที่สอดรับกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติอย่างน้อย 5 เป้าหมาย นอกจากนี้ รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับภาคธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม สังคม และมีธรรมาภิบาล (ESG) ซึ่งการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG และการดำเนินธุรกิจของ ภาคเอกชนบนพื้นฐานของ ESG จะช่วยส่งเสริมซึ่งกันและกันเพื่อบรรลุการพัฒนาที่ยั่งยืนได้
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณ JFCCT ที่เข้าใจและมีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือให้คำแนะนำส่งเสริมการค้าการลงทุนของต่างชาติในไทย และให้ความร่วมมือกับรัฐบาลไทยด้วยดีมาโดยตลอด ซึ่ง JFFCT เล็งเห็นว่าไทยเป็นประเทศที่ยังมีศักยภาพอีกมากและพร้อมจับมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองฝ่าย
