เปลว สีเงิน
ข่าว…..
“กระทรวงสาธารณสุข เตรียมประกาศให้โรคโควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่น แทนโรคระบาด”
คงพอผ่านหู-ผ่านตากันบ้างแล้วนะครับ?
จะเพื่อ “หยั่งกระแส” ความคิดเห็นหรือเพื่อ “ส่งสัญญาน” ถึงชาวบ้าน ว่าจากนี้ไปเราจะเข้าสู่สังคม New Normal แท้จริงกันแล้ว
คือโควิดกับเรา จะอยู่ร่วมกันตลอดไปในฐานะเพื่อนที่ “จะแยกขาดจากกันไม่ได้”
ซึ่งนั่น จะด้วยเจตนาใดก็ช่าง แต่โปรดทราบกันไว้เถอะ
ไม่เพียงสังคมไทย กระทั่ง “สังคมคมโลก” ก็จะต้องเดินไปในวิถีนี้
แล้วโควิดกับคนไทย จะประกาศวัน “แต่งงาน” เข้าหอกันจริงจังเมื่อไหร่ล่ะ?
รัฐมนตีสาธารณสุข “นายอนุทิน ชาญวีรกูล” บอกว่า
“จะต้องมีการกระเมินสถานการณ์ก่อนจะประกาศ ซึ่งจะประเมินครั้งแรกในเดือนกุมภาพันธ์นี้”
ประเมินจากไหน?
จากหลักเกณฑ์ อาการผู้ติดเชื้อ, การเข้าโรงพยาบาล และอัตราการเสียชีวิต
ปัจจัยสำคัญ คือ
“ต้องลดความรุนแรงของโรคให้ประชาชนสามารถอยู่กับโควิดได้เหมือนโรคประจำถิ่นอื่นๆก่อน เช่น ไข้หวัดใหญ่ ไข้เลือดออก เป็นต้น”
แต่ถึงประกาศเป็นโรคประจำถิ่นแล้ว…..
ประชาชนก็ยังต้องปฏิบัติตัวตามมาตรการสาธารณสุขเคร่งครัดเหมือนเดิม
“ต้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ จะฉีดวัคซีนในเด็กอายุ ๕-๑๑ ปี ซึ่งอาจทำให้จำนวนการแพร่ระบาดลดลงได้ เนื่องจากเด็กนำเชื้อไปสู่คนในครอบครัวได้”
นี่….
ผมก็จับความจากที่คุณอนุทินให้สัมภาษณ์นักข่าวเมื่อวาน (๒๘ มค.๖๕) ที่พูดกันฉาบฉวย ว่า ๑ กมภา.จะประกาศให้โควิดเป็นโรคประจำถิ่น นั้น
ยังหรอกครับ…ยัง!
ประกาศเป็นโรคประจำถิ่นน่ะ ประกาศแน่ แต่ยังไม่ใช่เวลานี้ ตอนนี้
“นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต” ปลัดสา’สุข ย้ำว่า
“ขณะนี้ไทยยังไม่ได้ประกาศให้โรคโควิดเป็นโรคประจำถิ่น เป็นเพียงการประกาศ “โรดแมป” เพื่อทำแผน 2 ระยะก่อนเท่านั้น
โดยระยะที่ ๑ ที่ ๒ จะมีกรอบเวลาระยะละ ๖ เดือน
หากระหว่างนี้ ไม่มีการระบาดของเชื้อกลายพันธุ์ที่รุนแรงกว่านี้ ภายใน ๖ เดือน จะทำให้ได้ตามแผนที่วางไว้
ประเด็นที่ห่วงกันมากว่า……
หากประกาศให้เป็นโรคประจำถิ่นแล้ว จะไม่ครอบคลุมการรักษา การฉีดวัคซีน และการตรวจคัดกรอง นั้น
ปลัดสา’สุข ยืนยัน “ไม่มีผลกระทบ”!
การรักษาให้เป็นไปตามสิทธิ์ ๓๐ บาท ประกันสังคม ข้าราชการ หรือกรณีแรงงานข้ามชาติ ที่ไม่มีสิทธิ์ ก็จะรักษาให้เหมือนเดิม
การรับวัคซีน รัฐยังเป็นผู้จัดการ และสนับสนุนวัคซีนในระยะแรก ๒-๓ ปีนี้ เหมือนเดิม รวมไปถึงค่าชดเชย หากได้รับผลกระทบจากการฉีดวัคซีนด้วย
ดังนั้น……..
การไปถึงจุด “โควิดเป็นโรคประจำถิ่น” ก็ต้องกำหนดหลักเกณฑ์ขึ้นมา
ทำให้ต้องมีระบบจัดการกับตัวโรค มาพิจารณาจัดทำมาตรการกลวิธี รวมถึงกิจกรรมต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกัน
ครับ….
เป็นเรื่องนำมาบอกกัน ไม่สนุก แต่ควรต้องรู้ไว้ ซึ่งตามแนวทางประเทศ ตามที่รัฐมนตรีอนุทินและปลัดสา’สุขแถลงไข ผมเห็นด้วย
ที่จะรอให้โควิดเป็น ๐ ก่อน ค่อยประกาศ “ไทยไม่มีโควิด” นั้น นั่นต้องรอ “โลกทิพย์”
แต่ถ้าจะอยู่โลกเป็นจริงนี้ ที่จะเป็นไปได้ก็แค่
ไทย “โควิดฟรีคันทรี” เท่านี้ เจ๋งที่สุดแล้ว!
หมายถึง ไทยเป็นพื้นที่ “ควบคุมโควิด” ได้ดี และปัจจัยที่ทำให้ “ปลอดโควิด” ได้
คือ การ “ฉีดวัคซีน” มียา, เวชภัณฑ์ รองรับผู้ป่วย และประชาชนให้ความร่วมมืออย่างดี
ไม่ได้หมายถึง “ไม่มีโควิด” ในประเทศไทย แบบนั้น มันโม้สไตล์ “ไอ้เฒ่าเลี้ยงแกะ” กล่อมประสาทพวกสาวกงั่ง ที่ตกกลางคืน ก็เข้าคลับเฮาส์ ไอ้เฒ่าโม้อะไร ก็ใช่ครับนาย เป็นควายตามเชือกล่ามจมูกไปทั้งหมด!
ไม่มีประเทศไหนในโลก ประกาศได้ว่า NO COVID-19 นอกจากปรับสภาพเป็น “โรคประจำถิ่น” แล้วอยู่กับมัน
ตอนนี้ เวลาศบค.แถลงประจำวัน….
คนไม่เขม้นตามองตัวเลข “วันนี้ติดโควิดเท่าไหร่” เป็นอันดับแรกแล้ว
แต่จะรูดสายตาปรื๊ดดด ไปตอนท้าย ตรงตัวเลข “วันนี้ ตายเท่าไหร่” แทน
นับแต่สายพันธุ์โอไมครอนมา นึกว่าจะเป็นมหาวินาศก่อนมหาสงกรานต์ ปี ๒๕๖๕
แต่ปรากฏว่า สาธารณสุขไทยเราเจ๋ง “เอาอยู่” แฮะ!
ป่วยคงยอดมาตรฐานรายวัน อยู่ที่วันละ ๗-๘ พัน ขึ้น-ลง
ส่วนยอดตาย ไม่เกินระดับ ๒๐ ต่อวัน มีช่วงนี้ ขึ้นไปถึง ๒๒ แต่ก็ไม่มากจนเป็นนัยยะบ่งบอกถึงความรุนแรงที่เอาไม่อยู่
ผมมีความเห็นเสริมด้านตัวเลขแถลงเกี่ยวกับผู้เสียชีวิตประจำวันสักเล็กน้อย
คือ เมื่อบอกยอดผู้เสียชีวิต น่าจะแจกแจงถึงสาเหตุ, วัย, โรคประจำตัวผู้เสียชีวิตนั้นๆ ด้วย
เพราะไม่เช่นนั้น สมมติบอก “วันนี้ตาย ๒๐ ราย” เฉยๆ ผู้รับข่าวสารก็จะเขาใจว่า ตายเพราะ “โควิดเอาตาย”
ซึ่งในข้อเท็จจริง มันมีปัจจัยอื่นนำไปสู่การเสียชีวิตอยู่ มาก ส่วนโควิด มันแค่เป็น “โรคจรมา” ผสม เป็นเหตุสุดท้ายเท่านั้น
สำนักข่าวบางแห่งเขาทำดีในประเด็นนี้ เขาแยกแยะให้ฟังเลยว่า ในยอดเสียชีวิต ๒๐ รายนั้น
มี ๑๖ ราย เป็นผู้สูงอายุ ทั้งมีโรคประจำตัว ทั้งไม่ได้ฉีดวัคซีนเลย ส่วนอีก ๓-๔ ราย ฉีดแค่เข็มเดียว!
ถ้าแจกแจงโปรไฟล์เกี่ยวกับผู้ตายอย่างนี้ ไม่เพียงตัดตอน “สำนักข่าวลือแห่งชาติ” นำตัวเลขไปแปลงสาร ว่าตายเพราะโอมิครอนแล้ว
ยังจะช่วยให้คนที่ไม่ยอมฉีดวัคซีน หรือละเลยที่จะฉีด เห็นความสำคัญที่ต้องฉีด แล้วไปรับการฉีด ซึ่งสา’สุขของรัฐมนตรีอนุทินตอนนี้ เขามีให้อาบแทนฉีดด้วยซ้ำ!
ว่าจะจบแค่นี้ แต่พอดี เห็นข่าว……..
“ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ” หรือ “ดร.นิว” นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา
โพสต์หนังสือด่วนที่สุดของ “นายชีวะภาพ ชีวะธรรม” รองอธิบดีปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมป่าไม้ ถึง อัยการจังหวัดราชบุรี ลงวันที่ ๒๗ มค.๖๕
กรณี ตำรวจสั่งไม่ฟ้องคดี “ธนาธร” พร้อมแม่และพี่สาว คดีรุกป่าสงวนฯราชบุรี
และ “กรมป่าไม้” ส่งหนังสือด่วนถึง “อัยการราชบุรี” แย้งคำสั่ง พร้อมระบุถึงเหตุผลไม่รอผลเพิกถอนน.ส.3 ก. 60 ฉบับ ก็อยากนำมาบอกให้รู้กันนิดหน่อย
เนื้อหาในโพสต์ดร.ศุภณัฐ ที่ควรรู้มีประมาณนี้……
“……..รายละเอียดหนังสือของกรมป่าไม้ที่ส่งถึงอัยการราชบุรี เนื้อหาสำคัญระบุว่า
“กรมป่าไม้” ได้รับหนังสือจาก “กองกำกับการ 5 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม” แจ้งว่า
“ได้ทำการสอบสวนคดี นางสมพร นางชนาพรรณ และนายธนาธร เสร็จสิ้นแล้ว เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2564 และได้ส่ง “สำนวนสอบสวน” ไปยัง “พนักงานอัยการจังหวัดราชบุรี” โดยมีความเห็น “สั่งไม่ฟ้อง” ผู้ต้องหา
กรมป่าไม้ขอเรียนว่า……..
“ศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์ป่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มีหนังสือขอให้ “กรมที่ดิน”
พิจารณาเพิกถอนเอกสารสิทธิในที่ดิน น.ส.3 ก.จำนวน 60 ฉบับ
และได้มีหนังสือขอทราบความคืบหน้าการพิจารณาเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ดินจาก “กรมที่ดิน”
อีกทั้ง “กรมป่าไม้” ได้มีหนังสือแจ้ง “กองกำกับการ 5 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม”
ว่า “ยังไม่มีความคืบหน้า” ในการเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ดินดังกล่าว ซึ่ง “กรมป่าไม้” พิจารณาแล้ว เห็นว่า
ตามที่ “พนักงานสอบสวนกองกำกับการ 5 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม” ได้มีความเห็น “สั่งไม่ฟ้อง” ผู้ต้องหาตามฐานความผิด เสนอ “อัยการจังหวัดราชบุรี” เพื่อพิจารณา
โดยที่ “ไม่รอผลการพิจารณาการเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ดิน น.ส. 3 ก. จำนวน 60 ฉบับ” จากกรมที่ดิน, กรมป่าไม้
จึงมี “ความเห็นแย้ง” กับพนักงานสอบสวน
เนื่องจากคดีนี้ “พนักงานสอบสวน” ไม่ได้นำผลการพิจารณาเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ดินประกอบสำนวนการสอบสวนแต่อย่างใด
ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินคดีเป็นไปตามกฎหมาย และไม่ให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ
จึงขอได้โปรดรอผลการพิจารณาการเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ดินจากกรมที่ดิน และประเด็นอื่น ก่อนพิจารณาสั่งคดีต่อไป
ผลเป็นประการใด โปรดแจ้งกรมป่าไม้ทราบด้วย”
อืมมมมม…..
“ตำรวจ” อีกแล้วครับ…ท่าน!
ไม่ใช่อะไร กลัวธนาธร คณะสามนิ้ว คณะพรรคก้าวไกล เขาจะบุกไปล้อมสตช.และสำนักงานอัยการ
ว่าสองมาตรฐาน ไม่แฟร์กับชาวบ้าน อยากให้สั่งฟ้องเหมือนคดี “อดีตสส.ปารีณาไกรคุปต์” นั่นแหละ
คดี “บอส-เรดบูล” ยังถูกด่าไม่จางเสียง
แล้ว “ตำรวจ-อัยการ” จะกล้า “แอนด์โก” กันอีกหรือ?
นี่คือ “คำถาม” จากสังคมเป็นธรรม
นิทานเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า คนไทยยังรู้จัก “แม่สมพร” น้อยไป…จบ