การ “ทำร้ายจิตใจ” ของ กทม. – เปลว สีเงิน

เปลว สีเงิน

อยากถาม กทม.
ที่อ้างอิงศบค.แล้วประกาศเมื่อวาน (๒๓ ธค.๖๔) ว่า

“มีมติให้กรุงเทพมหานคร งดการจัดกิจกรรมปีใหม่ทั้งหมด เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดและลดความเสี่ยงของการติดเชื้อโควิด-19 โอไมครอน ที่แพร่ระบาดเร็วมาก โดยกรุงเทพมหานคร “งดจัดกิจกรรมปีใหม่” ของทุกหน่วยงานทั้ง ๕๐ เขต

รวมถึงกิจกรรม “สวดมนต์ข้ามปี” และพิธีทำบุญตักบาตรวันปีใหม่ นั้น

นี่คือการ “บริหารปัญหา”
หรือการ “หนีความรับผิดชอบ?

พูดชัดๆ ผมไม่เห็นด้วยที่กทม.ตีโจทย์การป้องกันภาวะระบาดของศบค.ด้วยการ “งดกิจกรรม” เช่นนั้น

ผมมองว่า นี่..เป็นการตีโจทย์ศบค.มาปฏิบัติแบบ “เอาตัวรอด” ของกทม.คือ “ไม่ทำอะไรเลย ก็ไม่มีความผิด”
ผมว่า มันใช้ได้บางเรื่อง-บางกรณีนะ

แต่กับกรณีกิจกรรม “ส่งท้ายปีเก่า-ต้อนรับปีใหม่” ด้วยการสวดมนต์ไหว้พระ, ทำบุญตักบาตร สังสรร-รื่นเริง ซึ่งปีหนึ่งมีครั้งเดียว ซ้ำเป็นประเพณีไทย

และในจักรวาลนฤมิตรนี้ มี “สิ่งเดียว” ที่หล่อเลี้ยงจิตใจทุกมนุษย์ ให้ยืนหยัดอยู่สู่อนาคตได้ คือ “ความหวัง”
ถ้ามนุษย์ “สิ้นหวัง” ทุกอย่างก็สิ้น

จืดชืด เย็นชา “อยู่-ตาย” มันจะต่างกันตรงไหนหรือ?

และสันตติกาลแห่งกาลเวลา ระหว่าง “ปีเก่า-ปีใหม่” ใจมนุษย์ทุกคนเปิด รอคอยเพื่อการ “อธิษฐานจิต” มุ่งสู่ความดีงาม “ศักราชใหม่-ชีวิตใหม่”

ซึ่งใน ๓๖๕ วัน โลกเปิดโอกาสให้มนุษยชาติมีวาระนั้น เพียงชั่วเข็มนาฬิกากระดิกทับกันที่เลข ๑๒ ของวันที่ ๓๑ ธันวา. ข้ามต่อมกรา. เป็นของอีกปีหนึ่งเท่านั้น

แล้วกทม.ไม่ใจร้าย ใจดำ ใจคับแคบ ไปหน่อยหรือ ที่กระชากบรรยากาศปีใหม่ให้ทุกคนขึ้นไปถึงจุดพีค
แล้วก็ถีบให้ “หัวทิ่ม” ดิ่งลงมาแบบนี้!?

มันทั้งทำร้ายจิตใจ ทั้งทำลายความหวัง-ความรู้สึกดีๆ ที่ตั้งหวังของประชาชนอย่างน่าเสียดาย

ถ้าพูดแบบสุภาพ ก็พูดว่า กทม.บริหารปัญหาแบบ “ตัดความรับผิดชอบ” แต่ถ้าพูดแบบคนกันเอง ก็ต้องบอกว่า
“ห่วยแตก” มาก!

อ่านประกาศ กทม.สิ่งหนึ่งเห็นชัดคือ การงดจัดกิจกรรมปีใหม่ของกทม.ทั้งที่เตรียมการไว้แล้วนั้น

“กทม.เอาตัวรอดบนความภิณท์พังทางความหวังของประชาชนผู้ตั้งหวัง จากเบิกบาน-รอคอย เป็นหดหู่-เหี่ยวเฉา อีกปี..และอีกปี ที่รอคอยบนขอบเส้นเวิ้งว้างแห่งปีแล้ว-ปีเล่า

การป้องกันการระบาดของโควิด-โอไมครอน นั้นแค่ข้ออ้างเพื่อ “ปัดหรือตัดความรับผิดชอบ” เท่านั้น

อีกอย่าง จากประกาศกทม.ยังคลุมเครือ สร้างความสับสนในแนวทางปฏิบัติไปทั่ว
ขณะที่กทม.ประกาศงดกิจกรรมของกทม.เอง

แล้ววัดต่างๆ ล่ะ สถานบริการต่างๆล่ะ ภาคเอกชนที่จัดกันเองในที่ต่างๆล่ะ จะให้เขาทำไง?

เห็นแถลงว่า…
“เท่าที่ขออนุญาตกรุงเทพมหานครจัดงานใหญ่ มี ๒ จุด ได้แก่ ไอคอนสยาม และเซ็นทรัลเวิลด์ และ “นายเกรียงยศ สุดลาภา” รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร บอกว่า

“ฝากถึงประชาชนให้เข้มข้นในมาตรการป้องกันโรคแบบครอบจักรวาล และหลีกเลี่ยงไม่ไปในที่ที่มีคนรวมตัวจำนวนมาก

แนะให้สวดมนต์ข้ามปีอยู่ที่บ้าน งดการจัดกิจกรรม สังสรรค์และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
แต่สามารถกินเลี้ยงสังสรรที่บ้านได้ ภายใต้มาตรการป้องกันอย่างเข้มงวด”

ก็หมายความว่า “กทม.แทงกี๊ก” ของกูเลิกจัด แต่ของคนอื่นกูไม่รู้ด้วย (เป็นคลัสเตอร์ขึ้นมา อย่ามาโทษก็แล้วกัน)

ใคร “จะจัด-ไม่จัด” ให้ตีความกันเอาเอง ทั้งไม่มีมาตรการเป็นบรรทัดฐานในการจัดให้ยึดถือ ทั้งกทม.ไม่ได้ห้าม เพียงแต่ขอร้อง-ขอความร่วมมือ เท่านั้น

ในขณะเดียวกัน บอกว่า ที่ขออนุญาตจากกทม.จัดมี ๒ ห้างใหญ่
เมื่อเป็นอย่างนี้ กทม.ทำไมไม่ประกาศให้ชัดเจนไปล่ะว่า
กทม.ไม่ห้ามจัดกิจกรรมปีใหม่
เพียงแต่ที่กทม.จะจัดเอง “งดทั้งหมด”

ส่วนใครจัดก็เสนอรูปแบบงานมาให้กทม.พิจารณาเพื่อการอนุญาตก่อน แบบนี้ ประชาชนจะไม่ได้สับสน

อีกทั้งวัดวาอารามต่างๆ ที่ประชาชนจะไปสวดมนต์ข้ามปีกัน และปีนี้ “มหาเถรสมาคม” ก็มีมติให้ทุกวัดทั้งในประเทศ-ต่างประเทศ เปิดให้ประชาชนไปสมาทานศีล ฟังธรรม ตักบาตร ปีใหม่กัน

ทั้งวัดก็เตรียมการแล้ว ทั้งประชาชนก็เตรียมตัว-เตรียมใจแล้ว แล้วจู่ๆ กทม.ประกาศกำกวม ให้วัดงดกิจกรรมด้วย หรือ “เรื่องของวัด กทม.ไม่เกี่ยว” ?

จะเอาไง ก็ว่ามา บอกให้ชัด ไม่ใช่คาบลูก-คาบดอกแบบนี้
และที่ “ศาลหลักเมือง” อีกแห่งประชาชนจะไปไหว้อธิษฐานจิตขอพรปีใหม่กันเป็นประจำทุกปี

แล้วแบบนี้ จะเอาไง ให้แต่ละคน แต่ละฝ่ายตัดสินใจและรับผิดชอบกันเองงั้นหรือ?

เพราะอย่างนี้ ผมถึงบอก โควิดหรือโอไมครอนนั่นน่ะ มันไม่ใช่ปัญหา มันเป็นแค่โรคระบาดที่ “ต้องบริหาร” เท่านั้น

กทม.งดจัด อ้างป้องกันโรคระบาด ขณะเดียวกัน ที่อื่นจัดได้ สังสรรได้ หมายความว่า โรคมันจ้องระบาดเฉพาะที่ กทม.จัดสวดมนต์ข้ามปี และตักบาตรตอนเช้า เท่านั้นหรือ?
ส่วนที่อื่นๆ ใครจัด โรคไม่ไประบาดอย่างนั้นนหรือ?

ผมงงกับตรรกะของกทม.จริงๆ!
“โอไมครอน” น่ะ กลัวได้

แต่ขณะนี้ สำหรับประเทศไทย ผมว่า “โรคจิตหลอน” น่ากลัวกว่าโอไมครอน และระบาดลุกลามหนักกว่าด้วยซ้ำ!

แล้วนึกหรือว่า หมดโอไมครอนแล้ว จะไม่มีโรคระบาดพันธุ์อื่นตามมาอีก?
มันมีแน่ ตราบใดที่โลกมีมนุษย์ ตราบนั้่นโรคมันก็มี แล้วเราจะหนีมันพ้นมั้ย

ถ้าจะปิดประเทศ “รอโรคหาย” ก็มีแต่คนเท่านั้นที่หายไปจากโลก ส่วนโรคมันไม่หาย มันพร้อมกลับมาอีก เมื่อมีโลก-มีคน!

พระพุทธเจ้าตรัสบอกคาถากันโรค-กันภัยทุกประการไว้เแล้ว ถ้าปฏิบัติตามคาถา ช่วยได้ ๑๐๐%

อัปปมาเทนะ สัมปาเทถะ “ท่านทั้งหลาย จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม”
แล้วคนไทยก็ปฏิบัติตามนั้น จะเห็นว่า ประเทศที่ประชาชน “ปฏิบัติตัว” ป้องกันโรคระบาดเคร่งครัดที่สุด
คือ ประเทศไทย-คนไทย!

ผมไปทางไหน เห็นร้อยละ ๙๐ ขึ้นไป สวมหน้ากากอนามัยกันทั้งนั้น สวมกันจนชิน ใครไม่สวม จะเป็นตัว “สังคมเหยียด”

มอตโตคนไทยวันนี้ “หน้ากาก-มือถือคือสรณะ”

ไปไหน-มาไหน ถ้าขาด ๒ สิ่งนี้ จะขาดความมั่นใจ ไปไหนก็ไม่ได้ เหมือนแมวถูกตัดหนวด!

ที่โอไมครอนระบาดโครมๆ และพูดกันว่า โอไมครอน มาเร็ว-ติดเร็ว นั้น มันเป็นพวก “แองโกลแซกซอน” ทางตะวันตกที่แปลคำว่าประมาทเป็น “ความฉลาด” หรอก

ไม่ยอมสวมหน้ากาก ใครสวมเสร่อ เสียศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เผ่าพันธุ์เผือก และพอดีไวรัสมันมีรสนิยมทางอากาศเย็น

ก็เลยพอดีกัน พวกตะวันตก “ติดงอมแงม” ส่วนทางตะวันออก เช่นไทย โอไมครอน ที่ไม่ได้เป็นญาติกับโอปองแปง แค่กระปริด-กระปรอยมา แต่โพนทนากันจนคนไทยเป็น “โรคจิตหลอน” ระบาดแทน

มั่นใจกับศักยภาพไทยกันเองบ้างเหอะครับ ได้ยินทั้งนายกฯ ประยุทธ์ ทั้งรัฐมนตรีสาธารณสุข “อนุทิน ชาญวีรกูล” ทั้งปลัดสาธารณสุข “นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต” บอก

“ประเทศไทย ๑๐๑ ล้านโดสแล้วจ้า”!

บวกกับคนไทย “ไม่ประมาท” พกหลวงพ่อแมสก์ติดจมูก-ติดปากประจำ

ประเทศทางตะวันตกติดกันโครมๆ

แต่ “คนไทย-ประเทศไทย” ตัวเลขลดโครมๆ แม้เปิดเมือง-เปิดประเทศ ผ่านเทศกาลรวมหมู่เป็นการทดสอบหลายรอบ
แต่ตัวเลขติดก็ไม่เพิ่ม มีแต่ลด!

แสดงว่ามาตรการป้องกันและรักษาของรัฐบาล บวกความร่วมมือประชาชนได้ผล

โดยเฉพาะการพก “หลวงพ่อแมสก์” ติดตัว เสริมด้วยวัคซีนเต็ม ๒ แขนแล้ว กว่าค่อนประเทศ

ก็ดูซี…ได้ผลหรือไม่ล่ะ แค่เดือนกว่า นักท่องเที่ยวเข้ามากว่า ๒ แสนคน จนรัฐบาลต้องประกาศ “หมดรอบโปร” ชั่วคราว!

ปลัดเกียรติภูมิบอกเมื่อวาน ว่า…..

“หากประเมินในช่วงที่เชื้อเดลตาเข้าไทยขณะนั้น การฉีดวัคซีนเพียง ๒๐-๓๐%เท่านั้น ส่งผลให้ความรู้ยังมีไม่มาก เตียงก็อาจจะไม่พอ แต่ตอนนี้เพียงพอ มีระบบการดูแลที่บ้านหรือในชุมชน(HI /CI) รองรับ และการครอบคลุมวัคซีนมีมากขึ้น

เบื้องต้น จากข้อมูล “กรมควบคุมโรค” รายงานเข้ามา “โอมิครอน” ความรุนแรงไม่น่ามากกว่าเดลตา

เพราะจากข้อมูล และรายงานต่างประเทศ เช่น อังกฤษ ติดเชื้อเป็นหมื่นราย เสียชีวิตราว ๑๒ ราย”

สรุป คนไทยพร้อมอยู่กับมันด้วย “ความไม่ประมาท” แล้ว ปิดประเทศที่ไม่รู้จะหมดโรคเมื่อไหร่ “ตายลูกเดียว”

ฉะนั้น อยู่กับโลกเป็นจริงด้วยการ “เปิดประเทศ” แล้วบริหารปัญหา จะเป็นการทั้งการสร้างประสบการณ์ สร้างโลกทัศน์ใหม่ สร้างทฤษฎีและตำรา
ดีกว่าอยู่แบบหดหัวในกระดองแห่งความกลัว แล้วปล่อยตูดโด่ง!

กทม.ตีโจทย์แนวทางศบค.ใหม่ก็ยังไม่สาย
ยังไงๆ ประชาชนต้องไปสวดมนต์ข้ามปีตามวัดต่างๆและตักบาตรตอนเช้าอยู่แล้วแน่ๆ

กทม.ก็จัดกิจกรรมตามประเพณีปีใหม่และสวดมนต์ข้ามปีเถอะครับ
เปลี่ยนการ “หนีปัญหา” เป็น “บริหารปัญหา”

จะขับเน้น ประเทศปลอดภัยด้วยมาตรการ เป็นมาตรฐานให้ชาวโลกศึกษา ดีกว่าหดหัว…เชื่อเถอะ!



Written By
More from plew
ปฎิรูปแบบปฎิวัติเงียบ-เปลว สีเงิน
"บ่อน-หวย-มวย-ม้า-ซ่อง-ของเถื่อน-ยาเสพติด-รีดไถ" ท่านว่า "ชง" กับอาชีพ "ตำรวจ" วิธีการเดียวที่จะ "แก้ชง" ได้ คือการ "ส่งส่วย"!
Read More
0 replies on “การ “ทำร้ายจิตใจ” ของ กทม. – เปลว สีเงิน”