เปลว สีเงิน
ผมเชื่อใน “ธาตุดี” ของนักศึกษา…..
ด้วย “ไฟบริสุทธิ์” ของคนรุ่นใหม่ ที่อยากให้สังคมบ้านเมืองเป็นอย่างใจฉับพลัน
ก็หลงเพลิดไปชั่วขณะ
กับครูบาอาจารย์อสัตย์เมืองที่หลอกใช้ศิษย์ไปตายหรือไปติดคุกแทน กับแผน “ล่มชาติ-ล้มสถาบัน” ที่ขบวนการนอกชาติ ใช้มหา’ลัยในสหรัฐฯ แห่งหนึ่ง เป็นฐานบัญชาการ
แล้วขบวนการจานมหา’ลัยในไทย ก็ประสาน
รับแผนล่มชาติมาปฏิบัติการต่อ!
ผลประโยชน์จากล่มชาติ-ล้มสถาบัน ที่เขาจ่าย “อสัตย์เมือง” ได้ไปเป็นกอบ-เป็นกำ
เศษเดนเป็นของนักศึกษา อย่างดีก็แค่ชีสเค้กและคำป้อยอ เชิดเป็นวีรชนคนรุ่นใหม่บ้าง จะให้ไปศึกษาต่อบ้าง จะให้เป็น “อเมริกัน ซิติเซน” บ้าง
แต่ไม่ทันได้ไป ไม่ตายก่อนก็เสียอนาคตก่อน คือต้องคดี ถึงขั้น ติดคุก-ติดตะราง
ในขณะที่พวกจานหลอกใช้….
ทั้งไม่ช่วยและช่วยอะไรไม่ได้แล้ว ยังเสพสุขกันสบาย ทิ้งเก่า หลอกคนใหม่มาเชิดใช้แทน
ไม่ใช่เป็นแค่ยุคนี้-สมัยนี้ มันทุกยุค-ทุกสมัย นิสิต-นักศึกษา ส่วนหนึ่งไม่เข้าป่าก็เข้าคุก
ร้อยจะมีซักหนึ่ง’จาน ที่เข้าป่าหรือเข้าคุกพร้อมกับนักศึกษา!
ที่ปรารภเรื่องนี้ เหตุจาก “รุ้ง-ปนัสยา” วานซืน
ผมดีใจกับเธอ ที่ศาลเมตตา เห็นแก่อนาคต อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “แบบจำกัด” ให้ไปสอบเป็นบัณฑิตธรรมศาสตร์
โดยศาลท่านพิจารณาคำร้องแล้ว มีคำสั่งว่า…..
การที่จำเลยที่ ๕ (รุ้ง-ปนัสยา) มีภาระในเรื่องการเรียนที่จะต้องเสียหายจากการคุมขัง จึงเป็นเหตุที่สามารถได้รับการพิจารณา
เมื่อคำนึงถึงความเสียหายที่จำเลยที่ ๕ อาจก่อขึ้นอีกนั้น อาจจำกัด หรือควบคุมได้
โดยการที่จำเลยที่ ๕ ยินยอม และตั้งใจปฏิบัติตามเงื่อนไขต่างๆ ของศาลที่เข้มงวดยิ่งขึ้น
และด้วยการกำหนดเงื่อนไขเงื่อนเวลาและมาตรการกำกับดูแลที่เหมาะสม
ที่ประชุมผู้บริหารศาลอาญาพิจารณาแล้ว จึงเห็นควรอนุญาตให้ ปล่อยชั่วคราว จำเลยที่ ๕ อย่างจำกัด
โดยให้มีผล เฉพาะตั้งแต่วันนี้ ( ๓๐ พ.ย.) จนถึงวันที่ ๑๒ ม.ค. ๖๕
กำหนดเงื่อนไข….
-ห้ามทำกิจกรรมหรือก่อเหตุที่กระทบกระเทือนต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
-ห้ามเข้าร่วมชุมนุมที่ก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง
-ห้ามออกนอกเคหสถานตลอดเวลา เว้นแต่มีเหตุจำเป็นเพื่อการรักษาพยาบาล ไปเรียนและสอบ ไปติดต่อราชการที่ศาลอื่นหรือเหตุอื่น โดยได้รับอนุญาตจากศาล
-ห้ามออกนอกราชอาณาจักร โดยให้ผู้ผศ.ดร.บุญเลิศ วิเศษปรีชา เป็นผู้กํากับดูแลให้จําเลยที่ ๕ ปฏิบัติตามคําสั่งศาล
-ให้ติดอุปกรณ์ติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์
หากผิดสัญญา ให้ปรับผู้ประกันเป็นเงิน ๙ หมื่นบาท โดยไม่เรียกหลักประกัน
ถึงแม้เงื่อนไขอนุญาตประกันดูจะเข้มงวด แต่ถึงอย่างไร รุ้งซึ่งอยู่ในคุกมาแล้ว ย่อมเกิดประสบการณ์ทางเปรียบเทียบได้ว่า
เข้มงวดขนาดไหน การได้หายใจนอกคุก มีค่าน่าถวิลหาและทะนุถนอม มากกว่าการเข้าไปหายใจอยู่ในคุกเป็นร้อยเท่า-พันทวี
เป็นผม จะใช้ช่วงเวลา ๑ เดือนกับ ๑๒ วัน อย่างมีสติ นอกจากการสอบแล้ว ที่สำคัญ จะทบทวนบทบาทชีวิตตัวเองที่ผ่านมา
มันใช่หรือไม่ใช่ มันผิดหรือมันถูก?
อยากบอกรุ้งว่า “ยังไม่สายเกินไปที่จะสร้างสำนึกดีให้กับตัวเอง”
รุ้งจะเป็นบัณฑิตแล้ว
บัญฑิต คือผู้มีปัญญา ผู้มีความรู้ ผู้เป็นนักปราชญ์ ถ้ารุ้งยังคิดเหมือนเดิม ทำเหมือนเดิม การได้ออกมาสอบเป็นฑิต ก็ไร้ค่า
บัณฑิตในแผ่นกระดาษ ทุกวันนี้ มันเกลื่อนล้นออกมาจากมหา’ลัย ระกะ-ระกาตามถนน ไปหมกเป็นขยะรกเมือง
รุ้งต้องไม่เป็น “บัณฑิตขยะ” นะ
เธอต้องไม่เป็นผลไม้พิษ แม้จะผลิดอก-ออกผลมาจากต้นพิษ ม.ธรรมศาสตร์ ยุคนี้ก็เถอะ!
ไม่เพียงรุ้ง นิสิต-นักศึกษา ที่ถูกเขาหลอกใช้เป็นเครื่องมือล้มเจ้าทุกคน วันนี้ ยังไม่สายที่จะใช้สติของว่าที่บัณฑิตทบทวน
ก็ดูซิ…ปี-สองปี ที่ยำเยิงเมืองเรื่องล่มชาติ-ล้มสถาบันมา มีจาน’มหาลัยซักคนมั้ย ร่วมเป็น-ร่วมตายในถนน?
และมีซักคนมั้ย ถูกหมาย-ถูกคดี?
ปิยบุตร เป็นไง ก็เห็นลอยชาย “หน้านวล” ละเลียดไวน์ บินไปเยี่ยมภรรเมียเพลียสุข ออกสูตร “ปฎิรูปแบบปฏิวัติ” ให้ลูกศิษย์ปฏิบัติ แต่ตัวเอง..เปล่า
ลูกศิษย์ขัดเบาอยู่ในคุก ตัวเองเป็นจรวดพุ่งจู๊ดอยู่นอกคุก….สบาย!
เพนกวินล่ะ นิราศร้างห่างแก๊งไปแอ้งแม้งอยู่ในคุกเป็นร้อยวัน มีซักกี่’จานไปเกาะลูกกรงโรยแป้งซับผดที่ง่ามขาให้?
และ’จานปิยบุตรที่เคยตามไปกระซิบ “ติวเข้ม” ถึงซอกรูหูกลางม็อบขณะรุ่ง แล้วขณะริ่งอยู่ในคุกตอนนี้ จานยังเป็นแมลงหวี่ไปตอมหูเหมือนเดิมมั้ย?
“วีรบุรุษ-วีรสตรี” ที่พวกจานเป่าตูดน่ะ…มีเกลื่อนไป
แต่มักอยู่ในสภาพ ไม่ตาย ก็พิการ, ไม่พิการ ก็ป่วย, ไม่ป่วย ก็วิกลจริต
ไม่วิกลจริต ก็เป็นไพร่-เป็นทาส ประเภท “เต่าถุย” ตกกลางคืนต้องไปคอยหอนประจบสัมภเวสีตามคลับเฮาส์!
อะไรๆ ที่ว่าด้วย “ความผิด” นั้น……..
องค์ประกอบอยู่ที่ เจตนา ๑ ไม่หลาบจำ ๑ อภัยแล้วกลับทำซ้ำซาก ๑ ไม่สำนึกในทางกลับตัว-กลับใจ ๑ เป็นโจรโดยสันดาน อีก ๑
“คนรุ่นใหม่” โดยเฉพาะ “นักเรียน-นิสิต-นักศึกษา” ล้วนอยู่ในกรอบโอกาส “แน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด”
คือ “ถลำยังไม่ลึก” เกินถอนตัว!
พิจารณาให้ดี จะเห็นว่า กฎหมายทั้งหลาย เจตนารมย์ผู้ร่าง เขา “เปิดทาง-เปิดโอกาส” ให้คนกลับตัว มากกว่าต้องการ “เข่นโทษ-เข่นทัณฑ์” ตะบึงไป
กระบวนการทางศาลก็เช่นนั้น ท่านใช้ดุลยธรรม เมตตาธรรมประกอบการพิจารณาตัดสินเป็นที่เห็นชัด
จนหลายครั้งและบ่อยครั้ง สังคมก่นตำหนิว่า “ศาลใจดี” มากไปด้วยซ้ำ
ก็อยากให้ผู้ปกครอง พี่ๆ เพื่อนๆ ตลอดถึงครูบาอาจารย์ผู้มีความเป็นคนเหลืออยู่ ช่วยกันพูดให้สตินักศึกษา ให้มองทางยาว
อย่าเอาแต่เคียดแค้น อาฆาต ก่นหาแต่แสงดาว-แสงเดือน หลับหู-หลับตาอยู่กับ “ประชาธิปไตย/เผด็จการ” ที่เป็นมายาหลอกตาคนโง่เขลา
เผด็จการ-ประชาธิปไตย เปรียบก็เหมือนการขับรถ
ในทางตรง ก็เกาะพวงมาลัยไปเรื่อยๆ
ถึงทางเลี้ยว-ทางเคี้ยวคด ก็ปรับพวงมาลัยให้รถไปตามทางเลี้ยว ทางเคี้ยวคดนั้น
นี่เรียกว่า บริหารเส้นทางไปตามเหตุปัจจัย ตรงก็ตรงไป เลี้ยวก็เลี้ยวไป ในเส้นทางหนึ่งๆ ไม่มีเส้นทางไหนตรงตลอดอย่างเดียว และคดเคี้ยวอย่างเดียว
จะไปตรงอย่างเดียว คดอย่างเดียว มันก็ได้
แต่นั่นคือ การขืน “เหตุปัจจัย”
ผลของการขืน นอกจากไปไม่ถึงปลายทางแล้ว ยังจะไถลคว่ำลงข้างทาง ปางเจ็บ-ปางตาย
ทุกวันนี้ ที่สังเกต เราอยู่กันด้วยความอาฆาตแค้น “แตกแยก-แบ่งฝ่าย” กันมากไป
มันไม่เป็นผลดีกับ “ทุกคน-ทุกฝ่าย” และเราจะปล่อยไปแบบนี้ไม่ได้ เพราะมันอันตรายกับประเทศชาติ
และฝ่ายต้องรับผลร้ายนั้น คือ “พวกเราทุกคน”
ไม่ว่าสีไหน รุ่นไหน “ใหม่-เก่า” จะเป็น “ไก่ร่วมเข่ง” ถูกเขาจับเชือดตายหมดเหมือนๆ กัน!
รุ่นใหม่ ก็ขอให้คิดว่า รุ่นเก่า คือ พ่อ/แม่/ปู่/ย่า/ตา/ยาย/ป้า/น้า/อา เรา
รุ่นเก่า ก็ขอให้มองรุ่นใหม่ว่า นี่คือ ลูกๆ/หลานๆ/น้องนุ่งเรา พวกเขายังเยาว์วัย อย่าตวัดสายเบ็ดทันที
ต้องค่อยๆ ผ่อน ค่อยๆ ดึง อย่าตึงด้วยใช้แรงจนเกินไป อย่าหย่อนแบบปล่อยให้เขาลากตามใจตะพึดไป
เพราะนี่คือ “หน่อพันธุ์” ของชาติ จากรุ่น-สู่รุ่น ที่ตัดไม่ตาย-ขายไม่ขาด!
ผมเห็นการใช้โซเชียล “แยกเขา-แยกเรา” แล้วบูลลี่ ถากถาง หยามหยัน ด้วยอาฆาตแค้นต่อกัน เหมือนศัตรูอยู่ร่วมชาติกันไม่ได้แล้ว ไม่สบายใจ บอกตรงๆ
ถามว่า “จะแก้ยังไง แล้วใครจะแก้?”
ตอบว่า ทุกคน “ต้องแก้จากตัวเรา” แต่ละคน ใช้ “เมตตา-อภัย” ตอบรับการ “โกรธ-เคียดแค้น-ชิงชัง” ต่อกัน จากอีกฝ่าย
เขาตบมือมา เราไม่ยื่นมือไปตบตอบ ก็จะค่อยๆ เลิกราไปเอง เหมือนเอาน้ำดีไปไล่น้ำครำบ่อยๆ
สุดท้าย “น้ำดี-น้ำครำ”
คืนสภาพ “ใส” เป็น “น้ำเดียวกัน”!