น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขตจอมทอง-ธนบุรี อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่รัฐสภามีมติไม่รับหลักการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่เกิดจากการรณรงค์ของคณะก้าวหน้าในวาระที่ 1 ว่าผู้จัดทำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าวควรหยุดกล่าวอ้างว่าเป็นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับภาคประชาชนเพราะจากเนื้อหาของมาตราที่รขอแก้ไข ไม่มีมาตราใดที่เป็นเพิ่มสิทธิ เสรีภาพเพื่อประโยชน์โดยตรงกับประชาชนทั่วไป ในทางกลับกันเนื้อหาหลักเป็นการยกเลิกหน่วยงานและองค์กรอิสระที่ทำให้อดีตพรรคอนาคตใหม่เสียผลประโยชน์ทั้งนั้น เช่น ศาลรัฐธรรมนูญที่เคยวินิจฉัยยุบพรรคอนาคตใหม่และนายธนาธรขาดคุณสมบัติการเป็น ส.ส. เพราะฝ่าฝืนบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ หรือวุฒิสภาที่ไม่ยกมือโหวตให้นายธนาธรที่พยายามอยากเป็นนายกฯ ทั้งที่ขาดคุณสมบัติ ส.ส. ดังนั้นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ควรเรียกว่าฉบับแก้แค้นของคณะก้าวหน้าจะถูกต้องมากกว่า
น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า นอกจากเนื้อหาของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ไม่มีประเด็นแก้ไขเพิ่มเติมสิทธิเสรีภาพหรือผลประโยชน์ของประชาชนแล้ว การเคลื่อนไหวในครั้งนี้ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าต้องการหวังผลเพียงเพื่อขอซีนหาเสียงให้กลุ่มการเมืองของพวกคณะก้าวหน้าที่กำลังตกต่ำลงเรื่อยๆ หรือไม่ เพราะจากเดิมที่คณะก้าวหน้าและผู้รณรงค์ตั้งเป้าหมายผู้ร่วมลงชื่อถึง 1 ล้านคน แต่สุดท้ายมีผู้ลงชื่อ 135,247 คน = 13.5% ของเป้าหมาย หรือเป็นเพียง 1.9% ของ 6.8 ล้านเสียง
ผู้ที่เคยลงคะแนนเลือกอดีตพรรคอนาคตใหม่ แสดงให้เห็นว่าร่างฯ ฉบับนี้ไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชนแม้กระทั่งผู้ที่เคยสนับสนุนอดีตพรรคอนาคตใหม่ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่ชี้นิ้วป้ายสีให้เป็นความผิดของวุฒิสภาหรือ ส.ส. ที่โหวตไม่รับหลักการ เพราะสมาชิกรัฐสภาเหล่านั้นต้องเป็นตัวแทนสะท้อนเสียงของผู้ลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน 16.8 ล้าน
“ส่วนกรณีที่นายปิยบุตรกล่าวหาว่ารัฐสภาไม่เงี่ยหูฟังเสียงร้องนอกสภาฯ นั้น นายปิยบุตรทำตัวเหมือนจะละเมิดหลักการของประชาธิปไตย ไม่เคารพเสียงข้างมาก เลือกฟังแต่เฉพาะเสียงร้องที่ถูกใจตนเองของ 1.35 แสนคน ซึ่งน้อยกว่าผู้ที่ลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันถึง 124 เท่า นายปิยบุตรไม่ควรเผด็จการและเอาแต่ใจตัวเอง ควรเคารพความเห็นต่างที่เป็นเสียงข้างมากของประเทศ ดังนั้นก่อนที่นายปิยบุตรจะก้าวหน้าเดิน ขอให้เปิดตามองความจริง เวลาที่ก้าวพลาดจะได้ไม่มัวแต่โทษคนอื่น”
“สำหรับนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลที่เสียดายโอกาสเอาความขัดเเย้งออกจากสังคมไทยนั้น นายพิธาควรยอมรับว่าความขัดเเย้งวิกฤติการเมืองขณะนี้ไม่ได้เกิดจากกลไกต่างๆ ของรัฐธรรมนูญ 2560 เลย แต่เกิดจากการยุยง ปลุกปั่นสังคมของกลุ่มการเมืองที่นายพิธารู้จักคุ้นเคยหรือไม่ การจะนำร่างฯ ดังกล่าวมาเป็นนโยบายหาเสียงของพรรคก้าวไกลก็เป็นการขาดวิสัยทัศน์ เหมือนทำตามใบสั่ง ติดกระดุมได้เพียงเม็ดเดียวเพราะมีเพียง 1.9% ของผู้ที่เคยโหวตให้อดีตพรรคอนาคตใหม่เห็นด้วยกับร่างฯ นี้ นายพิธาควรทำประโยชน์ให้ประเทศชาติโดยปฏิรูปพรรคก้าวไกลให้เป็นสถาบันการเมืองภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างจริงจังและจริงใจจะดีกว่า” น.ส.ทิพานัน กล่าว