เปลว สีเงิน
พูดกันโดยเนื้อแท้…..
การมุ่งทำลายล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ครั้งนี้ ไม่ได้มาจากคนด้อยศึกษา คนป่า-คนเถื่อน ที่ไม่รู้ผิด-ไม่รู้ถูกจากที่ไหน
หากแต่มาจาก “ปัญญาชน” ตามมหา’ลัย ตามพรรคการเมือง ตามนักธุรกิจกลุ่มทุนล้วนๆ
แต่แปลก กลับต่ำทรามสำนึก!
ในเมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยแล้ว จะถูกใจ-ไม่ถูกใจ เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ต้องเคารพคำตัดสินนั้น
ไม่วิพากษ์-วิจารณ์เชิงดูหมิ่น ไม่ตัดคำ-ตัดความไปเผยแพร่ลักษณะบิดเบือน
แต่นี่กลับกระทำเป็นตัวอย่างเลวทางสังคม ชนิดไม่น่าปล่อยให้เป็นเยี่ยงอย่าง
เช่น แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม โพสต์ข้อความว่า
วินิจฉัยแล้ว ปฏิรูปคือการล้มล้าง
#ล้มล้างพ่อมึงสิ
เหล่านี้ เป็นต้น ซึ่งในคำวินิจฉัยศาลไม่ได้เป็นอย่างนั้นคนที่ไม่ได้อ่านคำวินิจฉัยศาลครบใจความ เห็นแล้วอาจหลงเชื่อตามคำบิดเบือนนั้นได้
หนักกว่านั้น ไปถึงขั้นแฮกเว็บศาลรัฐธรรมนูญ เปลี่ยนชื่อศาลไปในทางหยามหมิ่น
เหล่านี้ ชาวบ้านผู้เจริญแล้ว เขาไม่ทำกัน
มีแต่ “ปัญญาชน” ผู้ต่ำทรามเท่านั้น กระทำ
พวกเขารู้ การ “หมิ่นศาล” มีความผิด แต่พวกเขาส่งสัญญานท้าทาย
เถอะ…แล้วจะรู้!
ผมอยากให้ได้อ่านคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ “ฉบับเต็ม” กัน ผมอ่านแล้ว ได้ความรู้ ทั้งอ่านเพลิน รวดเดียวจบ
ที่ว่าเพลิน เพราะท่านเขียนคำวินิจฉัยแบบแปลภาษากฎหมายมาเป็นภาษาหนังสือที่คนทั่วไป อ่านเข้าใจง่าย
ท่านร้อยเรียงเรื่องในแต่ละขั้นตอนให้ทราบ จนไปสู่คำวินิจฉัยที่ครอบคลุมทั้งนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ศาสนศาสตร์ ทั้งประชาธิปไตย ว่าด้วยเสรีภาพ-เสมอภาค-ภราดรภาพ
ไทยโพสต์ฉบับเมื่อวาน (๑๑ พย.๖๔) ลงไว้ละเอียดไปหาอ่านได้ วันนี้ จะนำคำวินิจฉัยช่วงที่ว่าด้วยการล้มล้างมาให้อ่าน
อ่านแล้วจะได้รู้ว่า ที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่าการกระทำของนายอานนท์ นำภา นายภาณุพงศ์ จาดนอก นางสาวปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล
ที่ชุมนุมปราศรัย เมื่อ ๑๐ สค.๖๓ ที่ธรรมศาสตร์รังสิต เสนอ ๑๐ ข้อเรียกร้อง “ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์” นั้น เป็นการ “ล้มล้าง” โดยตรง
คนละเรื่องกับการ “ปฏิรูป” อย่างที่นำไปโพสต์บิดเบือนกันเป็นว่า “วินิจฉัยแล้ว ปฏิรูปคือการล้มล้าง”
จะยกคำวินิจฉัยช่วงนี้มาให้อ่าน ดังนี้
…………………
“ข้อเรียกร้องที่ขอให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญมาตรา ๖ ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่รับรองพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในฐานะทรงเป็นประมุขของรัฐ ที่ผู้ใดจะกล่าวหาหรือละเมิดมิได้นั้น
จึงเป็นการกระทำที่มีเจตนาทำลายล้างสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างชัดแจ้ง
การกระทำของผู้ถูกร้องทั้ง ๓ เป็นการเซาะกร่อน บ่อนทำลายระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
การออกมาเรียกร้องโจมตีในที่สาธารณะโดยอ้างการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ นอกจากเป็นวิถีที่ไม่ถูกต้อง ใช้ถ้อยคำหยาบคาย
และยังไปละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่เห็นต่างได้ด้วย อันจะเป็นกรณีตัวอย่างให้คนอื่นทำตาม
ยิ่งกว่านั้น การกระทำของผู้ถูกร้องทั้ง ๓ มีการดำเนินงานอย่างเป็นขบวนการ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมาย
และการปราศรัยของผู้ถูกร้องทั้ง ๓ เมื่อวันที่ ๑๐ ส.ค.๖๓ ณ เวทีธรรมศาสตร์ จะไม่ทนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต จะผ่านไปแล้ว ภายหลังจากที่นายณฐพร โตประยูร ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ
ก็ยังปรากฏว่า ผู้ถูกร้องทั้ง ๓ ยังคงร่วมชุมนุมกับกลุ่มต่างๆโดยใช้ยุทธวิธีเปลี่ยนแปลงรูปแบบการชุมนุม วิธีการชุมนุม เปลี่ยนแปลงผู้ปราศรัย ใช้กลยุทธ์แบบไม่มีแกนนำที่ชัดเจน
แต่มีรูปแบบการกระทำอย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มคนที่มีแนวคิดเดียวกัน
การเคลื่อนไหวของผู้ถูกร้องทั้ง ๓ และกลุ่มเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง มีลักษณะเป็นขบวนการเดียวกัน มีเจตนาเดียวกันตั้งแต่แรก
ผู้ถูกร้องทั้ง ๓ มีพฤติการณ์กระทำซ้ำและกระทำต่อไปอย่างต่อเนื่อง โดยมีการกระทำกันเป็นขบวนการ ซึ่งมีลักษณะของการปลุกระดม
ให้ข้อมูลที่เป็นเท็จ มีลักษณะก่อให้เกิดความวุ่นวายและความรุนแรงในสังคม
ระบอบประชาธิปไตยมีหลักการสำคัญ ๓ ประการ
๑.เสรีภาพหมายถึงทุกคนมีสิทธิ์คิด พูดและทำอะไรก็ตามที่ไม่มีกฎหมายห้าม
๒.เสมอภาค คือทุกคนมีความเท่าเทียมกัน
๓.ภราดรภาพ หมายถึงคนทั้งหลายมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกันฉันท์พี่น้อง มีความสามัคคีกัน
การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนั้น ด้วยความผูกพันของปวงชนชาวไทยกับสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีมาหลายร้อยปี
พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขจึงได้รับความยินยอมจากปวงชนชาวไทยให้ทรงใช้อำนาจอธิปไตยตามรัฐธรรมนูญผ่านทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล
สถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยเป็นเสาหลักสำคัญที่จะขาดเสียไม่ได้ ในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ดังนั้นการกระทำใดๆที่มีเจตนาเพื่อทำลาย หรือทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ต้องสิ้นสลายไป
ไม่ว่าจะด้วยวิธีการพูด เขียนหรือการกระทำต่างๆ เพื่อให้เกิดผลเป็นการบ่อนทำลาย ด้อยคุณค่าหรือทำให้อ่อนแอลง ย่อมแสดงให้เห็นถึงการมีเจตนาเพื่อล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์
การใช้สิทธิเสรีภาพของผู้ถูกร้องทั้งสามไม่เป็นไปตามหลักการประชาธิปไตย
การกระทำของผู้ถูกร้องทั้ง ๓ เป็นการอ้างสิทธิเสรีภาพเพียงอย่างเดียว ไม่ได้คำนึงถึงหลักความเสมอภาคภราดรภาพ
ผู้ถูกร้องทั้ง ๓ ใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นโดยไม่รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างจากบุคคลรวม
ทั้งล่วงละเมิดสิทธิส่วนตัวของบุคคลอื่นที่เห็นต่างด้วยด้วยการด่าทอ รบกวนพื้นที่ส่วนตัว ยุยงปลุกปั่น ด้วยข้อเท็จจริงที่บิดเบือนจากความเป็นจริง
ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงว่า การกระทำของผู้ถูกร้องทั้ง ๓ มีการจัดตั้งกลุ่มในลักษณะเป็นองค์กรเครือข่าย มีการใช้ความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง
บางเหตุการณ์ ผู้ถูกร้องทั้ง ๓ มีส่วนในการจุดประกายในการอภิปรายปลุกเร้าให้เกิดความรุนแรงในบ้านเมืองทำให้เกิดความแตกแยกของคนในชาติ อันเป็นการทำลายหลักความเสมอภาคและภราดรภาพ
ผลการกระทำของผู้ถูกร้องทั้ง ๓ นำไปสู่การล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
นอกจากนี้ ยังปรากฏว่าการชุมนุมหลายครั้งมีการทำลายพระบรมฉายาลักษณ์ของพระมหากษัตริย์ การแสดงออกโดยลบแถบสีน้ำเงินซึ่งเป็นสีของพระมหากษัตริย์ออกจากธงไตรรงค์
ข้อเรียกร้อง ๑๐ ข้อของผู้ถูกร้องทั้ง ๓ เช่นการยกเลิกมาตรา ๖ ของรัฐธรรมนูญ การยกเลิกการรับบริจาคโดยพระราชกุศล การยกเลิกพระราชอำนาจ และการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองในที่สาธารณะ
เป็นข้อเรียกร้องที่ทำให้สถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่เป็นไปตามประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของชาติไทยที่ยึดถือปฏิบัติกันตลอดมา
ทั้งพฤติการณ์และเหตุการณ์ต่อเนื่องจากการกระทำของผู้ถูกร้องทั้ง ๓ แสดงให้เห็นมูลเหตุจูงใจว่า
ผู้ถูกร้องทั้ง ๓ มีเจตนาซ่อนเร้น เพื่อล้มล้างระบอบการปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ใช่เป็นการปฏิรูป
การใช้สิทธิและเสรีภาพของผู้ถูกร้องทั้ง ๓ เป็นการแสดงความคิดเห็นที่ไม่สุจริต
เป็นการละเมิดกฎหมายมีมูลเหตุจูงใจเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามมาตรา ๔๙ วรรคหนึ่ง
แม้เหตุการณ์ตามคำร้องผ่านพ้นไปแล้วแต่หากยังคงให้ผู้ถูกร้องทั้ง ๓ รวมทั้งกลุ่มในลักษณะองค์กรเครือข่ายกระทำการดังกล่าวต่อไป
ย่อมไม่ไกลเกินเหตุที่จะนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
รัฐธรรมนูญมาตรา ๔๙ วรรคสองให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าว ที่จะเกิดขึ้นอีกในอนาคตได้ด้วย
เหตุดังกล่าวจึงวินิจฉัยว่า
การกระทำของผู้ถูกร้องทั้ง ๓ เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามมาตรา ๔๙
และสั่งการให้ผู้ถูกร้องทั้ง ๓ รวมทั้งองค์กรเครือข่ายเลิกกระทำการดังกล่าวที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตด้วยตามมาตรา ๔๙ วรรคสอง”
……………………….
ก็ชัดเป๊ะ
“ผู้ถูกร้องทั้ง ๓ มีเจตนาซ่อนเร้น เพื่อล้มล้างระบอบการปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ใช่เป็นการปฏิรูป”
ที่โพสต์ “ปฏิรูปคือการล้มล้าง” นั่นเท็จ!