ผักกาดหอม
จับทางยากครับ…
สังคมคนรุ่นใหม่ในโซเชียล มีเรื่องให้คาดไม่ถึงอยู่เสมอ
ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาโหมจุดกระแส ต้องการ ไฟเซอร์ วัคซีนเทพ เท่านั้น ไม่เอาซิโนแวค วัคซีนเซินเจิ้น วัคซีนน้ำเปล่า
พอไฟเซอร์มา จะไม่เอาอีก
เรื่องมันเป็นแบบนี้ครับ
รัฐบาลเริ่มโครงการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้นักเรียนอายุ ๑๒-๑๘ ปี มาตั้งแต่วันที่ ๔ ตุลาคม ซึ่งต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองเสียก่อน
ฉีดไฟเซอร์ให้นักเรียนตอนนี้ปัญหามันมีอยู่ ๒ ประเด็น
ประเด็นแรกนักเรียนที่อยากฉีด ยังไม่ได้ฉีด พากันประกาศหานักเรียนที่จะเสียสละไม่ฉีด
อีกประเด็นคือ นักเรียนที่ลงทะเบียนไปแล้ว เปลี่ยนใจไม่อยากฉีด เพราะกลัวผลข้างเคียงที่ตามมา ส่วนใหญ่เป็นเพราะเสพเฟกนิวส์หัวปักหัวปำ
กลุ่มที่ไม่ยอมฉีด ส่วนหนึ่งมาจากผู้ปกครอง ไม่มั่นใจเรื่องผลข้างเคียงของไฟเซอร์
จนเกิดกระแสสร้างเทรนด์ไม่ยอมฉีด
หลักๆ มาจากคลิปในแอปพลิเคชัน TikTok
TikTok อุดมไปด้วยคลิปเฟกนิวส์เกี่ยวกับผลข้างเคียงของวัคซีนไฟเซอร์
นี่คือเทรนด์ใหม่
และนักเรียนจำนวนมากเริ่มตามกระแสเทรนด์ใหม่นี้
ไม่ยอมฉีดไฟเซอร์
เฟกนิวส์เกี่ยวกับไฟเซอร์มีอะไรบ้าง?
…คุณภาพเท่าวัคซีนเซินเจิ้น
…เปลี่ยน DNA ทำให้กลายเป็นมนุษย์กลายพันธุ์
…ฉีดไปตายทำไง
บางคนเห็นเพื่อนไม่ยอมฉีด ไม่ฉีดตามเพื่อน
บางคนพ่อแม่ไม่ยอมให้ฉีด
คำถามตัวโตๆ ขีดเส้นใต้สิบเส้น เกิดอะไรขึ้น?
เด็กรุ่นใหม่เชี่ยวชาญการท่องโซเชียล สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายเพียงปลายนิ้วไถ ไม่ต้องไปค้นห้องสมุดเหมือนคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ ใช้เวลาเป็นวันๆ กว่าจะได้ข้อมูลที่ต้องการ
ทำไมถึงมีปัญหากับการหาข้อมูลข่าวสาร
ข่าวสารเกี่ยวกับไฟเซอร์ในโลกออนไลน์มีเต็มไปหมด
มีในทุกแง่มุม
มุมด่ารัฐบาลน่าจะเยอะสุด
รองลงมาคือผลข้างเคียง
และเฟกนิวส์เกี่ยวกับไฟเซอร์ก็เริ่มระบาดหนัก
หากพิจารณาในแง่ของห้วงเวลา ข่าวสารเกี่ยวกับไฟเซอร์น่าจะเป็นเชิงบวก ยกเว้นในส่วนที่ไปเกี่ยวกับรัฐบาล กรณีนี้ลบทุกเรื่อง
แล้วทำไมยังมีความสับสนเกี่ยวกับไฟเซอร์
ก่อนนี้คนรุ่นใหม่ในโซเชียล พากันโจมตีรัฐบาล ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลทางความคิดมาจากพรรคอนาคตใหม่-ก้าวไกล คณะก้าวหน้า ที่มีจุดยืน ไฟเซอร์ เท่านั้น
ไฟเซอร์จึงกลายเป็นวัคซีนเทพในความรู้สึกของคนรุ่นใหม่ ซึ่งจริงๆ แล้ว ไฟเซอร์ ก็มีประสิทธิภาพโดดเด่น กว่าวัคซีนยี่ห้ออื่นๆ ที่เป็นวัคซีนหลักในไทย
แต่ทำไมจึงปฏิเสธวัคซีนเทพ
หรือเป็นคนรุ่นใหม่คนละกลุ่มกัน
ภาพที่จำติดตาคือ กลุ่มนักเรียนเลว ออกมาโจมตีเรื่องวัคซีนซิโนแวค ด่ารัฐบาลไม่จัดหาไฟเซอร์ แล้วเคลมว่านักเรียนทั่วประเทศเห็นด้วย
ก็งงซิครับ…นักเรียนไม่เอาไฟเซอร์โผล่มาจากไหน
ถามว่านักเรียนไม่เอาไฟเซอร์มีกี่คน…ตอบยาก
แต่ดรามาในโซเชียลไม่เอาไฟเซอร์นั้นอึกทึกมาก
แฮชแท็ก #ไฟเซอร์นักเรียน วิจารณ์กันขรม
เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึงพลังโซเชียลจริงๆ แต่เป็นพลังด้านเลวๆ
ปัญหาคนรุ่นใหม่กับโซเชียล ดูกำลังจะกลายเป็นเรื่องยากเกินแกง เพราะภูมิคุ้มกันต่ำ ที่น่าวิตกคือไม่มีวัคซีนใดๆ ฉีดป้องกันได้ นอกจากตื่นรู้ด้วยตัวเอง
เฟกนิวส์ในโซเชียลมีดาษดื่นไปหมด
TikTok
Youtube
Instagram
Facebook
Twitter
ทั้งหมดนี้เหมือนจะมีการควบคุมเนื้อหา แต่ในความเป็นจริงแทบจะไม่มีการควบคุมอย่างสิ้นเชิง ไม่เฉพาะเฟกนิวส์ไฟเซอร์อย่างเดียว แต่ปลอมข่าวครบวงจร โดยเฉพาะข่าวการบ้านการเมือง
เป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่สร้างความวุ่นวายให้กับบ้านเมืองอยู่ในขณะนี้
ครับ…ไปดูข่าวจริงกันหน่อย
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต พูดถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนของประเทศไทย
“…เป้าหมายในเดือนพฤศจิกายน ประชาชนต้องรับวัคซีนจำนวนเข็มที่ ๑ ให้ได้ ๕๓ ล้านคน ๗๕%
เข็มที่ ๒ ได้ ๓๙ ล้านคน คิดเป็น ๕๕%
นั่นหมายความว่า เราสามารถทำได้ตามแผน มีวัคซีนอย่างเพียงพอ และได้รับความร่วมมือจากประชาชนในการฉีดวัคซีน เราก็จะทำได้ตามมาตรฐานโลกในการฉีดวัคซีนของประเทศที่พัฒนาแล้ว
และในเดือนธันวาคม วัคซีนจะครอบคลุมในเข็มที่ ๑ ถึง ๖๐ ล้านคน เฉลี่ย ๘๕%
เข็มที่ ๒ ๔๙ ล้านคน เฉลี่ย ๗๐%
หมายความว่าเมื่อถึงสิ้นธันวาคมเกือบทุกคนในประเทศไทยจะได้รับวัคซีนเรียบร้อยอย่างน้อย ๒ เข็ม
และเข็ม ๓ ก็จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นต่อไป หากการดำเนินงานเป็นไปตามแผน
คาดว่าในวันที่ 1 มกราคม ๒๕๖๕ สถานการณ์จะคลี่คลายได้มาก การดำเนินชีวิตต่างๆ ก็คงกลับมาอยู่ในรูปแบบปกติ แบบวิถีใหม่ (New normal)…”
กลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา “ลุงตู่” ประกาศเปิดประเทศใน ๑๒๐ วัน
วันนั้นผู้ติดเชื้อรายวันอยู่ที่ ๓-๔ พันคน
เสียงด่าขรม!
ประชดประชัน เปิดประตูสู่นรกมากกว่า
ระหว่างทางก่อนเปิดประเทศผู้ติดเชื้อรายวันพุ่งเกิน ๒ หมื่นคน
ใครหลายคนคิดว่าเสร็จแน่ ไทยน่าจะจมดิ่งอีกยาวนาน แต่คนที่คิดแบบนั้นไม่ได้เอาปัจจัยการเร่งฉีดวัคซีนมาประกอบการพิจารณา
มาถึงวันนี้เราเปิดประเทศไปหลายจุดแล้ว จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันค่อยๆ ลดลง เหลือหมื่นต้นๆ บ้าง ไม่ถึงหมื่นบ้าง
ฉะนั้นเป้าหมายใช้ชีวิตรูปแบบปกติ วิถีใหม่ในวันปีใหม่ จึงไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ต่อให้มีคนด้อยค่าไฟเซอร์ก็เถอะ!.