ผักกาดหอม
คงจะขวัญผวากันไป
วานนี้ (๒๐ สิงหาคม) จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-๑๙ ในไทย ทะลุ ๑ ล้านคน
หลายคนคงมองไปที่ ๒ ล้าน ๓ ล้าน
พรรคการเมืองฝ่ายค้าน ทุบโต๊ะ นี่คือรัฐบาลฆาตกร
ครับ…ถ้าวัดอัตราการเสียชีวิตจากโควิด-๑๙ ขณะนี้ไทยอยู่ที่ลำดับ ๕๑ ของโลก
๘,๘๒๖ คน
คิดเป็น ๐.๘๗ ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ
หรือ ๑๐๕ คน ต่อประชากร ๑ ล้านคน
ขณะที่ค่าเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ ๕๕๙ คน ต่อประชากรล้านคน
วันนี้อเมริกาสูญเสียพลเมืองเพราะโควิดไปแล้ว ๖๔๓,๑๑๒ ราย
ถ้ารัฐบาลไทยเป็นรัฐบาลฆาตกร รัฐบาลเกือบทุกประเทศในโลกก็เป็นรัฐบาลฆาตกรทั้งหมด เพราะเกือบทุกประเทศ มีผู้เสียชีวิตจากโควิด-๑๙ ด้วยกันทั้งนั้น
เห็นฝ่ายค้านตั้งท่าใช้ตัวเลขพวกนี้มาอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็คงจะห้ามไม่ได้ แต่ทุกตัวเลขเป็นวิทยาศาสตร์ จับต้องได้ในระดับโลก ไม่เฉพาะในไทย
แม้กระทั่งตัวเลขการระบาด ของโควิด-๑๙ สายพันธุ์เดลตา ไม่มีรัฐบาลไหนในโลกเอาอยู่
อเมริกาที่ว่าแน่ติดเชื้อหลักแสนมาตั้งแต่ต้นเดือน
สำหรับไทยค้างที่หลัก ๒ หมื่นมาร่วม ๒ สัปดาห์
นิวไฮอยู่ที่วันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๓,๔๑๘ ราย
๑ สัปดาห์เต็มกราฟเริ่มทิ่มหัวลง
วานนี้ต่ำกว่า ๒ หมื่น มาอยู่ที่ ๑๙,๘๕๑ ราย แม้ลดลงไม่มาก แต่ค่อยๆ เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นว่า เราอาจเลยจุดสูงสุดมาแล้ว
คุณหมอกัมปนาท พรยศไกร ศัลยแพทย์ระบบทางเดินปัสสาวะ เจ้าของเพจ Sarikahappymen อธิบายเรื่องนี้ไว้ละเอียดเข้าใจง่ายครับ
….หลายคนก็คงสงสัยว่าลงจากอะไร อันนี้ก็ต้องบอกว่าจากหลายๆ ปัจจัยร่วมกันครับ ตั้งแต่
๑.ธรรมชาติของโรค คือทุกอย่างในโลกนี้มันไม่มีอะไรสูงสุดตลอดกาลหรอกครับ มีพีกก็มีแผ่ว โรคระบาดก็เช่นกันมันก็จะบุกเราเป็นระลอก มีช่วงหนัก ช่วงเบา ดูอย่างอินเดีย อินโด ที่ยอดติดวันละ ๔ แสน ตายกันเต็มแม่น้ำคงคา พอถึงเวลามันจะซา ยอดก็ลดลงไปดื้อๆ นั่นแหละครับ
๒.การฉีดวัคซีน ถึงเห็นว่าระบบจัดสรรจะมั่วซั่วขนาดไหน แต่สุดท้ายเห็นเงียบๆ ฉีดเพียบนะครับ คือตอนนี้เรามีคนไทยที่ได้วัคซีนเข็มแรกกันไปแล้วถึง ๑๘ ล้านคน หรือก็ ๑ ใน ๔ ของประเทศแล้ว และก็ยังฉีดเพิ่มกันทุกวันเฉลี่ยวันละ ๔-๕ แสนคน คือก็ฉีดข้ามหัวเราไปมานี่แหละครับ ซึ่งแต่ละคนภูมิก็อาจขึ้นสูงบ้างต่ำบ้างตามแต่ละชนิดหรือจำนวนโดสที่ได้ แต่มันก็ขึ้น ไม่ใช่ถึงขนาดฉีดน้ำเปล่านะครับ
๓.ยอดคนติด ตอนนี้เรามียอดคนติดเชื้อล้านคน ก็เท่ากับคนกลุ่มนี้ก็จะมีภูมิธรรมชาติอยู่แล้วล้านนึง และยิ่งสมมติที่เราบอกกันว่าตรวจน้อยกว่าความเป็นจริง ๑๐ เท่า ก็แปลว่าข้างนอกก็ต้องมีคนติดเชื้อแบบไม่มีอาการอยู่ ๑๐-๒๐ ล้านคน ก็เท่ากับคนกลุ่มนี้ก็ต้องเริ่มมีภูมิด้วยเช่นกันนั่นแหละครับ
และถ้ารวมกับยอดคนฉีดวัคซีนด้วยก็แปลว่าเรามีคนที่มีภูมิอย่างน้อยเกือบ ๑ ใน ๓ หรือบางทีเกือบครึ่งประเทศแล้วนะครับ
ซึ่งจากหลายๆ อย่าง รวมถึงที่คนส่วนใหญ่ก็ยังช่วยกันระมัดระวังตัวเองอยู่ ยังใส่หน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง รวมถึงมาตรการล็อกดาวน์ที่ถึงแม้จะทำแบบโคตะระหลวม แต่ก็ช่วยชะลอยอดใหม่ได้บ้างไม่มากก็น้อย ก็เลยทำให้เราน่าจะผ่านจุดพีกของมันไปได้แล้วล่ะครับ
แล้วจะเป็นยังไงต่อ จบเลยไหม
ก็ต้องบอกว่าเราแค่ผ่านจุดพีกครับ แต่มันยังไม่จบ กราฟไม่หลอกใคร เราขึ้นเขาจากเดลตามา ๒-๓ เดือน ขาลงก็ต้องใช้เวลา ๒-๓ เดือนเช่นกัน ก็คือจะต้องมีผู้ติดเชื้อวันละ ๑๙,๐๐๐ > ๑๘,๐๐๐ > ๑๗,๐๐๐ ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะราบเรียบ ก็คืออย่างน้อยจะต้องมีผู้ติดเชื้อใหม่อีก ๓-๔ แสนคนนั่นแหละครับ
และเช่นเดียวกัน จากสถิติทุกประเทศ ยอดพีกผู้เสียชีวิตก็มักจะเกิดตามหลังพีกผู้ติดเชื้อประมาณ ๑-๒ อาทิตย์ ก็แปลว่ากว่าจะจบเวฟในอีก ๒-๓ เดือน เราจะต้องเห็นยอดผู้เสียชีวิตอีก ๒-๓ พันคนเช่นกันครับ
ที่พูดถึงไม่ใช่ไม่มีความรู้สึกหรือมองว่ามันเป็นแค่ตัวเลขนะครับ แต่มันคือธรรมชาติที่โหดร้ายของโรคที่มันเกิดกับทุกประเทศ ทุกที่ผ่านแบบนี้มาหมด เมกาตายไป ๖ แสน อังกฤษตายไปแสนสาม เยอรมันตายไป ๙ หมื่น และประเทศเรากำลังพยายามกดมันให้ดีที่สุดที่หมื่นต้นๆ นี่แหละครับ….
ย้ำเหมือนเดิมว่าตอนนี้ยังเป็นช่วงเวลาที่ลำบาก และเราต้องอยู่ไปอีกพักใหญ่ๆ แต่มันเริ่มมีสัญญาณรำไรว่ามันจะค่อยๆ ดีขึ้นแล้ว ก็ยังต้องระวังตัวกันอย่างเคร่งครัด ให้คิดว่า Covid มันคือฝน มันมีทั้งช่วงหนักและเบา และเราต้องทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ตัวเราเปียก การสวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง ก็เหมือนเรากางร่ม การฉีดวัคซีนก็เหมือนใส่เสื้อกันฝน
การล็อกดาวน์ก็เหมือนเราเข้าไปหลบฝนในตึก คือมันต้องทำทุกอย่างร่วมกันแหละครับ ทำอย่างใดอย่างหนึ่งก็ไม่รอด เพราะเกมนี้เราไม่ได้เป็นคนกำหนดแต่เป็นไวรัสที่มันคิดกติกาและมันไม่ต่อรอง ถ้าพลาดหรือเผลอก็ติดจริง ป่วยจริงไม่ใช่การแสดงครับ….
เป็นไงครับ….ฟาดฟันกับโควิด-๑๙ ไม่ใช่เรื่องง่าย
และยากยิ่งขึ้นเมื่อต้องมาเจอกับพวกมือไม่พายเอาเท้าราน้ำ
วัคซีนเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักในการสู้กับโควิด-๑๙
และวัคซีนก็มีปัญหาใหญ่จากเกรียนคีย์บอร์ด ทั้งจากที่เป็นนักการเมือง ม็อบ พากันปั่นเฟกนิวส์จนวัคซีนจีนกลายเป็นน้ำเปล่า
การฉีดวัคซีนไขว้น่าจะจบ ด้วยงานวิจัยของ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
Sinovac + AstraZeneca กระตุ้นภูมิคุ้มกัน ๗๘.๖๕
AstraZeneca + AstraZeneca กระตุ้นภูมิคุ้มกัน ๗๖.๕๒
AstraZeneca + Sinovac กระตุ้นภูมิคุ้มกัน ๒๕.๘๓
Sinovac + Sinovac กระตุ้นภูมิคุ้มกัน ๒๔.๓๑
ฉีดวัคซีน ๓ เข็ม
Sinovac + Sinovac + AstraZeneca กระตุ้นภูมิคุ้มกัน ๒๗๑.๑๗
Sinovac + Sinovac + Sinopharm กระตุ้นภูมิคุ้มกัน ๖๑.๒๖
ฉะนั้นเลิกเถอะครับการด้อยค่าวัคซีน เพราะเอาเข้าจริง ไม่มีวัคซีนตัวไหนดีกว่าตัวอื่นๆ ในทุกด้านอย่างชัดเจน
ข้อมูลจาก ถึงผลการศึกษา การลดลงของประสิทธิภาพวัคซีน ไฟเซอร์ และแอสตร้าเซนเนก้า จากคุณหมอมานพ พิทักษ์ภากร หัวหน้าศูนย์วิจัยการแพทย์แม่นยำ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ถือว่าสุดๆ แล้ว
พบว่าอัตราลดลงของประสิทธิภาพวัคซีน Pfizer เร็วกว่า AstraZeneca
ข้อมูลจากการติดตาม โอกาสที่จะตรวจพบการติดเชื้อ COVID จำนวนมาก (high viral load, Ct<30) จากทีมนักวิจัย Oxford ร่วมกับ Office of National Statistics เปรียบเทียบระหว่างกลุ่มประชากรที่ได้ AstraZeneca vaccine เทียบกับ Pfizer vaccine พบว่าแม้ประสิทธิผลของวัคซีน Pfizer จะสูงกว่า AstraZeneca ในช่วงแรก
แต่เมื่อติดตามไปเรื่อยๆ พบว่าอัตราการลดลง (attrition rate) ของวัคซีน Pfizer เร็วกว่า AstraZeneca จนวัคซีนทั้งสองชนิดเริ่มมีค่าเท่าๆ กันที่ ๓ เดือนหลังฉีด
และถ้าแนวโน้มยังคงเป็นแบบเดิม ประสิทธิผลของ AstraZeneca จะเหนือกว่าหลังเดือนที่ ๔ เป็นต้นไป
คงจะบอกว่าวัคซีน Pfizer กลับด้อยกว่า หรือ AstraZeneca ดีกว่าไม่ได้ จนกว่าจะเห็นข้อมูลมากกว่านี้
แต่อย่างน้อยสิ่งที่ยืนยันได้คือ ประสิทธิผลของวัคซีน Pfizer ลดลงเร็วกว่าจริง
ครับ …
Pfizer ล็อตใหญ่จะเข้าไทยตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นไป แต่ใช่ว่า วันที่ ๑ ตุลาคมจะมาทันที ระหว่างนี้อีกร่วมๆ ๒ เดือน Sinovac จะเข้ามาอีกพอควร
อย่ารังเกียจ และอย่าเข้าใจผิด
ฉีด Sinovac + AstraZeneca ใน ๓-๔ สัปดาห์ คือทางรอด
ถ้าป่วย ก็ไม่หนักไม่ตาย และยังช่วยสร้างภูมิคุ้มกันหมู่เร็วขึ้น
ฉะนั้นเชื่อหมอเถอะครับ อย่าเชื่อหมา