ไล่ ‘ลุงตู่’ ได้ ‘ลุงตู่’-ผักกาดหอม

ชุมนุมไป ๒ วัน

    ตอนแรกเห็นคุยโม้ประโคมกันว่าประเทศไทยไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว เพราะเป็นการชุมนุมทะลุเพดาน

    ที่จริงก็เหมือนเดิมอยู่บ้าง

    คือเผาของหลวง กับ แกนนำสามนิ้วกลับไปอยู่ในคุก

    ในส่วนที่ไม่เหมือนเดิมคือ คราวนี้แกนนำสามนิ้วบางคนน่าจะติดคุกยาว

    กระแสไล่ “ลุงตู่” ดูจะพยายามปั้นกันอย่างหนัก

    โหนทั้งโควิด เศรษฐกิจ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล

    แต่พอลงลึกไปในประเด็นใครจะมาเป็นรัฐบาลแทน มันไปยากกว่าไล่ “ลุงตู่” ออกเสียอีก

    ไม่ใช่เพราะหาคนเหมาะสมมาเป็นนายกรัฐมนตรีไม่ได้

    แต่เพราะโดยโครงสร้างทางการเมือง พรรคฝ่ายค้านคือของเก่าที่เคยลองมาแล้ว เหมือนเสื้อผ้า มันใส่ไม่พอดีตัว

    โดยเฉพาะ พรรคเพื่อไทย ยังวนอยู่ในการเมืองน้ำเน่า ถูกสั่งการโดยนักโทษหนีคุก

    สถานะของพรรคเพื่อไทย จึงนิ่งอยู่กับที่

    ทุกวันนี้ นักโทษหนีคุกยังคงบงการพรรคอยู่

    ส่วน ส.ส.ของพรรคพากันสวามิภักดิ์

    ยังไม่เห็นนักการเมืองในพรรคเพื่อไทยคนไหนกล้าประกาศเป็นอิสระจากตระกูลชินวัตรเลยแม้คนเดียว หนำซ้ำแข่งกันเอาใจนายแบบไม่เกรงใจประชาชน

    วันเกิดครบรอบ ๗๒ ปี ทักษิณ ชินวัตร เดือนที่แล้ว พิสูจน์ให้เห็นว่า เพื่อไทยยังคงเป็นพรรคนายทุน

    ส่วนพรรคอื่น ยังไม่ใกล้เคียงกับคำว่า พรรคที่ได้เก้าอี้ ส.ส.มากที่สุด

    พรรคก้าวไกลเลยจุดสูงสุดไปแล้ว

    และพรรคก้าวไกลยังเล่นการเมืองแบบฉายเดี่ยว ไร้แนวร่วม สุดโต่ง

    น้อยพรรคที่อยากร่วมรัฐบาลด้วย

    ถ้าต้องมีรัฐบาลใหม่ เป็นไปได้ในหลายแนวทาง แต่ไม่ใช่พรรคฝ่ายค้านทั้งหมดเป็นพรรคหลักในการตั้งรัฐบาลแน่นอน

    ฉะนั้นใครที่เรียกหารัฐบาลใหม่ ต้องทำใจล่วงหน้า อาจไม่เป็นอย่างที่ฝันเอาไว้

    เหตุผลง่ายๆ ครับ คนรุ่นใหม่ยังไม่รู้จักการเมืองดีพอ

    เป็นเรื่องยากครับที่จะเดาสูตรการเมือง ใครจะร่วมรัฐบาลกับใคร   ใครจะมาเป็นนายกรัฐมนตรี

    แต่ที่แน่ๆ ไม่มีพรรคใหญ่พรรคไหนเอาก้าวไกล

    จากพรรคอนาคตใหม่ช่วงแรก ความดีไม่มีความชั่วไม่ปรากฏ มาวันนี้พรรคก้าวไกลแผลเต็มตัว

    “ธนาธร-ปิยบุตร” จบชีวิตการเมืองไปแล้ว ๑๐ ปี

    “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” อาจจะตามไปติดๆ เพราะปมแสดงบัญชีทรัพย์สิน อาจเป็นปัญหา!

    แสดงบัญชีทรัพย์สินครบถ้วนหรือไม่นั่นเรื่องหนึ่ง

    แต่ทรัพย์สินบางรายการจะเป็นปัญหาในทางการเมืองสำหรับ “พิธา”

    นั่นคือที่ดินทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ แขวงพระโขนง เขตคลองเตย กรุงเทพฯ ที่ “พิธา” แจ้งว่าไม่สามารถประเมินมูลค่าได้

    ที่ดินทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ น่าจะมาจากการประมูลการเช่าอสังหาริมทรัพย์

    ในการประมูล มันมีราคา แต่นั่นยังไม่สำคัญเท่าสิ่งที่ “พิธา” ต้องตอบหลังจากนี้

    เมื่อ ๑๑ สิงหาคม ปีที่แล้ว “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ติดกระดุมเม็ดแรกเอาไว้หลังแกนนำสามนิ้ว ประกาศ ๑๐ ข้อ ปฏิรูปสถาบัน

    “…มีข้อเรียกร้อง ๑๐ ข้อ แต่มีคนพูดว่าข้อเรียกร้องนี้เป็นการจาบจ้วง ก้าวล่วงสถาบันพระมหากษัตริย์ จะทำให้เกิดความรุนแรง นำไปสู่การรัฐประหาร

    ผมและสมาชิกพรรคอนาคตใหม่หลายคนเห็นแย้ง ไม่เชื่อว่าจะต้องเกิดการนองเลือด หรือความรุนแรงเสมอไป

    ความรุนแรงเกิดจากผู้มีอำนาจ ถ้าผู้มีอำนาจไม่คิดที่จะใช้ความรุนแรงเพื่อฆ่าอนาคตของตนเอง ก็จะทำให้ประวัติศาสตร์ไม่ซ้ำรอยได้  ทำให้พวกเราพูดคุยเรื่องนี้กันได้อย่างสันติและสงบสุข

    ข้อเรียกร้อง ๑๐ ข้อ เป็นสิ่งที่สามารถพูดคุยได้ตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

    ถ้าเราไม่ฟังและผลักเขาออกจากพื้นที่ปลอดภัยด้วยการบอกว่า พูดแบบนี้เท่ากับดูหมิ่น เป็นเรื่องอันตรายและจะพาประเทศไปถึงทางตัน…”

    ข้อ ๓ ใน ๑๐ ข้อ คือให้ยกเลิก พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ พ.ศ.๒๕๖๑

    ให้แบ่งทรัพย์สินออกเป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของกระทรวงการคลัง และทรัพย์สินส่วนพระองค์ที่ของส่วนตัวของกษัตริย์อย่างชัดเจน

     ในวันที่ “พิธา” พุูดเรื่องนี้ ตัว “พิธา” มีที่ดินทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์อยู่ในมือ และแจ้งกับ ป.ป.ช.ว่า…”ประเมินค่ามิได้”

    กรณีนี้ ไม่ต่างจาก น้องชายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ สักเท่าไหร่

    ย้อนกลับปี ๒๕๖๐ เกิดคดี “สกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ยัดเงินใต้โต๊ะ  ๒๐ ล้านบาทให้เจ้าหน้าที่ของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์

    หวังสัมปทานที่ดินทำเลทองย่านชิดลม เพื่อนำมาพัฒนาที่ดินบริเวณองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ชิดลม) ซึ่งกำลังจะหมดสัญญาเช่า

    แต่สถานการณ์กลับพลิกผัน

    กลายเป็นว่า “สกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ” โดนหลอกอีกที

    ในขณะที่ “ธนาธร-ปิยบุตร” โหมเสนอปฏิรูปสถาบันตามแนวทางของม็อบสามนิ้ว ใช้ประเด็นนี้ปลุกระดมมวลชนทุกครั้งที่มีโอกาส

    การเมืองยิ่งอยู่นานยิ่งมีบาดแผล

    ต่างกับช่วงความดีไม่มีความชั่วยังไม่ปรากฏ

    เมื่อมองในมุมอุดมการณ์ ทั้ง “พิธา-ธนาธร” ล้วนมีปัญหา จากกระดุม ที่ตัวเองติดเองกับมือ ตั้งแต่เม็ดแรก

    แต่เม็ดต่อไปมันเหลื่อมกัน ระหว่างอุดมการณ์กับสิ่งที่ปฏิบัติจริง

    ในทางการเมือง เรื่องนี้จะกลายเป็นหนามตำตีน ที่ยากจะเอาเสี้ยนออกได้

    ครับ…วันนี้ไล่ประยุทธ์

    คิดว่าจะได้สิ่งที่ดีกว่าเมื่อประยุทธ์ไป

    ลองหันไปมองความจริงเมื่อประยุทธ์ไป คนที่มาแทนมีแค่ ๒ พวก

    พวกที่ล้มเหลวมาแล้ว และมวลมหาประชาชนเรือนล้านออกมาขับไล่

    กับพวกในสภาจับมาขยำกันใหม่ อยู่ที่ประชาชนส่วนใหญ่ชอบค็อกเทลสูตรนี้หรือเปล่า

    เพราะจะได้ “ลุงตู่” ในอีกบริบท

    ส่วนพวกติดกระดุมผิด แล้วยังคิดว่าสิ่งที่ทำนั้นถูกต้อง

    แทงบัญชีสูญ.



Written By
More from pp
ศุภชัย ชี้ ศาลรับคำร้อง เป็นเรื่องเฉพาะเกี่ยวกับคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรี ไม่เกี่ยวกับตำแหน่งเลขาธิการพรรค ไม่ใช่คดีเกี่ยวกับการทุจริต แล้วมาโยงพรรคภูมิใจไทย
ศุภชัย ชี้ ศาลรับคำร้อง เป็นเรื่องเฉพาะเกี่ยวกับคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรี ไม่เกี่ยวกับตำแหน่งเลขาธิการพรรค ไม่ใช่คดีเกี่ยวกับการทุจริต แล้วมาโยงพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นความเท็จ 5 มีนาคม 2566 นายศุภชัย...
Read More
0 replies on “ไล่ ‘ลุงตู่’ ได้ ‘ลุงตู่’-ผักกาดหอม”