นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่มีกลุ่มคณะราษฎรภูเก็ต และกลุ่มภูเก็ตปลดแอก ได้จัดชุมนุมขบวนคาร์ม็อบ ที่จังหวัดภูเก็ตเพื่อยื่นหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต
อีกทั้งได้มีเหตุเผชิญหน้ากันระหว่างผู้ชุมนุมและประชาชนในพื้นที่ภูเก็ตด้วย โดยกลุ่มผู้ชุมนุมได้เรียกร้องให้รัฐบาลฉีดวัคซีนไฟเซอร์ (Pfizer) ให้กับแพทย์และพยาบาลนั้น
ในเรื่องนี้ นายอนุชา กล่าวว่าทางกระทรวงสาธารณสุข ได้ชี้แจงยืนยันแล้วว่า วัคซีนไฟเซอร์ที่จะเข้ามาในเดือน ก.ค. นี้ จะนำมาใช้เพื่อฉีดกระตุ้นเป็นเข็มที่ 3 ให้กับบุคลากรทางการแพทย์เป็นกลุ่มแรกก่อนอยู่แล้ว โดยเบื้องต้นได้เตรียมฉีดให้บุคลากรทางการแพทย์ไม่น้อยกว่า 5 แสนคน
นอกจากนี้ วัคซีนไฟเซอร์จะได้กระจายไปยังประชาชนกลุ่มเสี่ยง และพื้นที่เสี่ยง โดยจะมีคณะทำงานจากทุกภาคส่วนร่วมพิจารณาดำเนินการจัดสรรวัคซีนในล็อตนี้อย่างเป็นระบบ อีกทั้งพร้อมยืนยันว่าไม่มีการบังคับฉีดกระตุ้นเข็มที่ 3 เป็นแอสตร้าเซนเนก้า (AstraZeneca) ในบุคลากรทางการแพทย์ ที่ฉีดซิโนแวคมาแล้ว 2 เข็มแต่อย่างใด
นอกจากนี้ ข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุมในเรื่องการนำเข้าวัคซีน mRNA ที่มีประสิทธิภาพ และหลากหลาย ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนทุก ๆ คนอย่างเท่าเทียมกันนั้น นายอนุชายืนยันว่า กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขได้ลงนามกับผู้แทนบริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัดและไบออนเทค ในการจัดซื้อวัคซีนไฟเซอร์ ซึ่งเป็นวัคซีนชนิด mRNA จำนวน 20 ล้านโดส ซึ่งจะมีการจัดส่งในไตรมาสที่ 4 ของปี 2564 นี้
และการทำข้อตกลงเพื่อจัดหาวัคซีนไฟเซอร์ในครั้งนี้ จะทำให้ไทยมีวัคซีนโควิด-19 กระจายให้ประชาชนเกือบครบทุกชนิด ทั้งในส่วนของ mRNA ของไฟเซอร์ และโมเดอร์นา, ชนิดเชื้อตาย ของซิโนแวคและซิโนฟาร์ม, ชนิดไวรัลเวกเตอร์ ของแอสตร้าเซนเนก้า และล่าสุดองค์การเภสัชอยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ผลิตวัคซีนชนิดโปรตีนซับยูนิต ซึ่งคาดว่าจะนำเข้ามาเพื่อฉีดให้กับประชาชนได้ในช่วงต้นปี 2565 และจะทำให้ไทยมีวัคซีนโควิด-19 หลากหลายเทคโนโลยีที่มีการผลิตอยู่ในปัจจุบัน