นพ.ยง ภู่วรวรรณ ชี้โควิดสายพันธุ์อินเดีย จำเป็นต้องควบคุมให้ได้โดยเร็ว ก่อนที่จะสร้างปัญหาใหญ่โต เพราะแพร่กระจายและติดเชื้อง่าย คาดวัคซีน AstraZeneca ต้านได้ แต่ยังไม่มีการศึกษาในแนวลึก

นพ.ยง ภู่วรวรรณ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Yong Poovorawan ว่าเป็นข่าวใหญ่ที่พบสายพันธุ์อินเดียระบาดในประเทศไทย ก่อนหน้านี้ที่ศูนย์พบสายพันธุ์อินเดีย B.1.167.2 จากผู้เดินทางมาจากอินเดีย 8 คน ในสถานกักกัน ซึ่งไม่มีผลต่อการระบาดในประเทศไทย เมื่อมีการพบสายพันธุ์อินเดียในประเทศไทยจึงจำเป็นที่จะต้องควบคุมให้ได้โดยเร็ว ก่อนที่จะสร้างปัญหาใหญ่โต

สายพันธุ์ที่ระบาดอย่างรุนแรงในอินเดีย ประกอบไปด้วยสายพันธุ์อินเดียและเบงกอล สายพันธุ์อินเดีย เป็นสายพันธุ์ที่ต้องเฝ้าระวัง และให้ความสำคัญ Variant of Concern (VOC) อีกสายพันธุ์หนึ่ง รวมทั้งสายพันธุ์อังกฤษ เพราะมีการแพร่กระจายได้ง่ายมาก อย่างรวดเร็ว

สายพันธุ์อินเดีย B.1.167 มี 3 กลุ่มย่อย คือ B.1.167.1, B.1.167.2, B.1.167.3 ดังแสดงในรูป แต่สายพันธุ์ที่ระบาดมากในอินเดียและกระจายไปในประเทศต่างๆ เป็นจำนวนมาก คือ สายพันธุ์ B.1.167.2

สายพันธุ์นี้ได้ระบาดไปถึงประเทศอังกฤษ จากข้อมูล Reuters รายงานข่าวว่าพบสายพันธุ์นี้แพร่กระจายได้ง่าย แต่ไม่น่าจะหลบหลีกภูมิต้านทานที่เกิดจากวัคซีน (UK increasingly confident COVID-19 vaccines work against Indian variant) โดยเฉพาะที่ใช้ในประเทศอังกฤษ อย่างวัคซีน AstraZeneca ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีการศึกษาในแนวลึก

ถ้าเราดูในหลักวิชาการทางวิทยาศาสตร์ สายพันธุ์ที่แพร่กระจายได้ง่ายจะมีการกลายพันธุ์ในส่วนของ Spike protein ดังนี้ D614G หรือที่เราเรียกว่าสายพันธุ์ G คือ ตำแหน่งที่ 614 มีการเปลี่ยนแปลงของกรดอะมิโนจาก Aspartate ไปเป็น Glycine ทำให้สายพันธุ์นี้ครองโลกอยู่ขณะนี้

ตำแหน่ง N501Y มีการเปลี่ยนแปลงจาก Asparagine ไปเป็น tyrosine และทำให้จับกลับตัวรับบนผิวเซลล์ได้ดีขึ้น พบในสายพันธุ์อังกฤษ ที่ทำให้แพร่กระจายได้ง่ายขึ้น

ที่สำคัญอีกตำแหน่งหนึ่ง คือ ตำแหน่ง 681 ในตำแหน่งนี้ทั่วไปกรดอะมิโนจะเป็น Proline จะเป็นตำแหน่งที่เอนไซม์ของร่างกายเราคือ furin ไปตัดแบ่ง spike protein หลังจากไวรัสได้เกาะกับเซลล์เรียบร้อยแล้ว ถ้าสามารถตัดได้ง่ายไวรัสก็จะมุดเข้าสู่เซลล์ได้ง่าย เพราะการเกาะติดและเข้าสู่เซลล์จะต้องมีการตัดส่วนของ Spike protein ให้แยกขาดออกจากกัน (S1 และ S2) เพื่อให้ไวรัสเข้าสู่เซลล์ ถ้ายิ่งตัดง่ายก็เข้าสู่เซลล์ได้ง่าย เกิดการติดเชื้อได้ง่าย โดยเฉพาะถ้าเปลี่ยนเป็นกรดอะมิโนที่เป็นด่าง

จะเห็นว่าสายพันธุ์อินเดีย ต่างจากสายพันธุ์อื่นคือเป็น 681R ในตำแหน่งนี้เป็น Arginine ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นด่าง ทำให้เอนไซม์ Furin ตัดได้ง่ายขึ้นและง่ายที่จะเข้าสู่เซลล์หรือการติดเชื้อ

การเปลี่ยนแปลงที่จะหลบหลีกระบบภูมิต้านทานส่วนใหญ่ จะให้ความสำคัญอยู่ในตำแหน่งที่ 484 วัคซีนส่วนใหญ่ที่ทำมาจะเป็นสายพันธุ์ ในตำแหน่งนี้คือกรดอะมิโน Glutamic (E) แต่ถ้าเปลี่ยนไปเป็น K หรือ Lysine อย่างเช่นในสายพันธุ์แอฟริกาใต้ จะทำให้หลบหลีกระบบภูมิต้านทานที่จะทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง

เมื่อดูสายพันธุ์อินเดีย (B.1.167.2) ในตำแหน่งนี้ยังเป็น E ดังนั้นด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ วัคซีนที่ใช้อยู่น่าจะมีประสิทธิผลในการป้องกันได้ เช่นเดียวกับที่สำนักข่าวในอังกฤษเผยแพร่ออกมา

โดยสรุปสายพันธุ์อินเดีย B.1.167.2 จะแพร่กระจายได้ง่าย จะง่ายเท่าสายพันธุ์อังกฤษหรือมากกว่าสายพันธุ์อังกฤษ ยังไม่มีการศึกษาที่ชัดเจน แต่สายพันธุ์นี้ตามหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ วัคซีนที่เราใช้อยู่นี้ น่าจะป้องกันได้

Written By
More from pp
ชวนคุยเรื่อง ‘หัวใจ’ ภัยเงียบสุดแสนอันตราย กับแพทย์ศูนย์โรคหัวใจ และทรวงอก รพ.นวเวช
กลุ่มโรคหัวใจเป็นภัยเงียบที่พรากชีวิตผู้คนอย่างเฉียบพลันโดยไม่มีลางบอกเหตุ โดยข้อมูลจากกรมควบคุมโรคได้รายงานถึงอัตราความชุกของโรคหัวใจและหลอดเลือดในประเทศไทยอิงตามข้อมูลของเขตสุขภาพทั่วประเทศไทยในปี 2567 ว่า ความชุกโดยเฉลี่ยของกลุ่มอายุเกิน 50 ปีขึ้นไป มีมากกว่า 1.33 % ซึ่งหากอิงค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10...
Read More
0 replies on “นพ.ยง ภู่วรวรรณ ชี้โควิดสายพันธุ์อินเดีย จำเป็นต้องควบคุมให้ได้โดยเร็ว ก่อนที่จะสร้างปัญหาใหญ่โต เพราะแพร่กระจายและติดเชื้อง่าย คาดวัคซีน AstraZeneca ต้านได้ แต่ยังไม่มีการศึกษาในแนวลึก”