เปลว สีเงิน
เทคโนโลยี “ไอที” เปลี่ยนสังคมโลก
การจะเปลี่ยนให้ได้ผล
มันก็ต้องรื้อ-ทุบทิ้ง-ทำลาย “สิ่งเดิม” แล้วสร้าง “สิ่งใหม่” อย่างที่เรียก “ดิสรัปต์”
“ของเดิม” ที่ว่านี้ คือ คน-วัตถุ-สิ่งของ-ตึกรามบ้านช่อง ที่ต้อง รื้อ-ทุบทิ้ง-ทำลาย อย่างนั้นหรือ?
ไม่ใช่ครับ นั่นแค่เปลือกคิด!
ที่ต้องรื้อทิ้ง-ทุบทำลาย คือ รื้อทิ้ง-ทุบทำลาย ความยึดติดในความคิดเดิมๆ, รูปแบบการทำงานเดิมๆ, การขับเคลื่อนชีวิตเคยชินแบบเดิมๆ ตะหาก
“เดิมๆ” มันไม่ดียังไง?
ถ้าไม่ดี จะเลี้ยงพวกมึงให้โตขึ้นมาอวดฉลาดอย่างนี้ได้เรอะ จะมีเรือกสวนไร่นาขนาดนี้ได้เรอะ จะมีธุรกิจการค้าร่ำรวยให้พวกมึงผลาญได้เรอะ แล้วบ้านเมืองจะเจริญก้าวหน้ามาถึงขนาดนี้ได้เรอะ?
นี่ พวกผู้ใหญ่บางท่าน อาจย้อนเอากับลูกหลาน “หัวใหม่” อย่างนั้น
มันก็ไม่ผิด อย่างที่ท่านย้อน
แต่อยากให้ “หัวเก่า” อย่างผม ที่ตอนนี้ ถูกแยกไปอยู่ในหมวด “ผู้สูงอายุ” ว่า
เราลองมองในมุมนี้ดูบ้าง บางทีจะเข้าใจอะไรในมุมใหม่ๆ จากที่จำเจขึ้นบ้าง
“เปลี่ยนคิด-ชีวิตก็เปลี่ยน” ประมาณนั้น
เห็นคลองหลอด-คลองผดุงกรุงเกษม-คลองโอ่งอ่าง, คลองบางลำพู-คลองมหานาค รวมทั้งคลองแสนแสบ กันมั้ย?
ผมหมายถึง….
เดิม…ตั้งแต่รัชกาล ๑-๕ มันใสสะอาด วักล้างหน้า-บ้วนปาก หุงข้าวได้ เผลอๆ ดื่มกินได้ด้วยซ้ำ
นานไปเป็นร้อยๆ ปี ไม่ดูแล ไม่พัฒนา แบบไหน ก็เป็นแบบนั้น จากน้ำใส กลายเป็นน้ำครำ
“พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว” รัชกาล ที่ ๑๐ ทรงเปลี่ยน น้ำครำเป็นน้ำใส
ปรับคลองที่ใช้ทิ้งขยะ เป็นเส้นทางคมนาคมทางน้ำ
พลิกสภาพ “นรกน้ำครำ” เป็น “สวรรค์เพื่อการท่องเที่ยว”
เป็นถนนทางน้ำ เป็นที่พายเรือ-ล่องเรือชมสองฝั่งคลองรอบเกาะรัตนโกสินทร์ เป็นจุดสันทนาการและค้าขายวิถีใหม่ทางดื่มกินและพักผ่อน
ขณะที่ “คลองเวนิส” ซีกโลกตะวันตกเริ่มเน่า สู่จุดถอยจม คลองรอบเกาะรัตนโกสินทร์ ทางอุษาคเนย์ กลับสู่จุดฟื้นฟูเฟื่องฟ้า
นี่คือรูปธรรมของคำว่า “ดิสรัปต์”
เปลี่ยนสิ่งเก่าที่เสื่อมค่า เป็นสิ่งใหม่เพิ่มมูลค่า ทั้งทางจิตใจและทางกายภาพ
การเปลี่ยนวัตถุ, สิ่งของ, ระบบ, งาน เป็นเรื่องย่อย
“เรื่องใหญ่-เรื่องหลัก” ที่ต้องเปลี่ยนให้ได้ก่อน คือ
เปลี่ยนความ “ไม่เอาไหน” เป็น “เอาไหน”!
“ไม่เอาไหน” คือ การเกาะระบบกินไปวันๆ เกาะงานกินไปวันๆ เช้าครึ่งชาม เย็นเลียชามที่แห้งกรัง
มีชีวิตอยู่แบบหายใจทิ้งไปวันๆ
ไม่กระตือรือร้น ไม่ขวนขวาย ไม่ยอมหมุนไปตามโลก คือไม่ยอมปรับเปลี่ยน “วิธีคิด-วิธีทำงาน” ให้เคลื่อนไปตามวิถีโลกเปลี่ยน
“อายุ-วัย” ไม่ใช่ข้ออ้าง ที่จะไม่ยอมเปลี่ยนทัศนคติและมุมมองในวิถีชีวิตและการงาน
การรู้จัก “ประยุกต์คิด” ตามพระพุทธองค์สอน ถูกต้องที่สุด “จงหมุนตามโลก แต่อย่าหลงติดโลก”
เนี่ย…..
ผมฟังที่นายกฯ แถลงเมื่อวาน (๑๑ พค.๖๔) ยกระดับการฉีดวัคซีนเป็น “วาระแห่งชาติ”
ประเทศไทยเรา จะเป็น “ศูนย์กลางผลิตวัคซีน แอสตร้า เซนเนก้า ในภูมิภาคอาเซียน”
ขณะนี้ จัดหาวัคซีนจาก ๑๐๐ ล้านโดส เพิ่มอีก ๓.๕ ล้านโดส ตั้งแต่มิถุนา.ไป ปูพรมฉีดทั่วทั้ง ๗๗ จังหวัด ครบกันทุกคน
แต่ไม่เข้าใจ คนไทยบางพวก-บางคน
แทนที่จะภาคภูมิใจ…
ที่ประเทศเรามี “สยามไบโอไซเอนซ์” ผลิตวัคซีนได้เองแล้ว โลกรับรองคุณภาพ ไทยเป็นศูนย์ผลิต แอสตร้า เซนเนก้า จ่ายแจกภูมิภาคนี้
กลับอิจฉา-ริษยา ปั้นข่าวทางลบ ไม่ดีบ้าง ฉีดแล้วอันตรายถึงตายบ้าง อย่าไปฉีดบ้าง
บางคนชั่วช้า ไม่น่าเกิดมาในแผ่นดินนี้
วัคซีนจากโรงงานสยามไปโอฯ ที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ พระองค์ประหนึ่งหยั่งรู้เหตุการณ์อนาคต จึงทรงวางรากฐาน “โรงงานชีววัตถุ” แห่งนี้ไว้ให้
มันเที่ยวโพสต์ว่า “ขายไม่ออก” แล้ว
รัฐบาลและคุณหมอทั้งหลาย ต้องออกมาช่วยทำการตลาด!
ดูสิ..มันระยำคนถึงขนาดนั้น “เศร้าใจ” จริงๆ
เศร้าที่ “ประเทศไทย” ของเรา มีคนอย่างนี้!
บางคนยกเอาที่ไฟเซอร์ประกาศให้สิงคโปร์ เป็นศูนย์กลางการผลิตวัคซีนในภูมิภาคอาเซียน มาหยามเยาะบ้านเมืองตัวเอง ทำนองของเขาดี ของเราสู้เขาไม่ได้
ถึงขั้น “พาดพิงเบื้องสูง” ด้วยการใช้คำลบหลู่!
อนาถกับพวกนี้จริงๆ เรื่องควรดีใจร่วมกัน กลับนำมาเหยียบย่ำซึ่งกันและกัน
ในความเป็นจริง ไฟเซอร์ประกาศวันนี้ กว่าตั้งโรงงานเสร็จ ให้เร็วที่สุด อีก ๓ ปี จะผลิตออกมาได้
แต่ของเราเอง ที่บริษัทแอสตร้าฯ มอบให้ไทยเป็นศูนย์กลางผลิต สำเร็จเป็นวัคซีน กระจายจากโรงงานสู่แขนคนแล้ว
มันไม่ใช่เรื่องของการแข่งขันเพื่อค้า
มันเป็นเรื่องคนจิตใจสูง มุ่งทางช่วยกันผลิตวัคซีนเพื่อโลก
แต่คนจิตใจต่ำทราม กลับใช้ทัศนคติทรามต่ำสัตว์ ยกมาเหยียบซึ่งกันและกัน!
ขณะนี้ รัฐบาลให้คนอายุ ๖๐ อัพ กับ ๗ กลุ่มโรค ลงทะเบียน “หมอพร้อม” จองวันฉีดแอสตร้า เซนเนก้า
ก็มีขบวนการสร้างข่าว อย่าไปฉีด อันตราย วัคซีนไม่ดี
พวกสื่อบางเจ้า ก็เฟ้นข่าว มีที่ไหนบ้าง ฉีดแล้วมีผลข้างเคียง แม้พบเพียง ๑ ใน ๑ ล้าน ก็หยิบมาขยายเป็น ล้านใน ๑
คนวัยเลย ๖๐ มี ๑๕-๑๖ ล้าน ถึงขณะนี้ ลงทะเบียนฉีดแค่ ๑.๕ ล้านคน!?
เอ๊ะ…ยังไงกัน มาช้า ก็ด่า แต่พอมา กลับไม่ฉีด?
ผมว่า ไม่ใช่ไม่ยอมฉีด คนสูงอายุทั้งเข้าไม่ถึงระบบและทั้งระบบเข้าไม่ถึงเขามากกว่า โดยเฉพาะต่างจังหวัด ตามอำเภอ หมู่บ้านไกลๆออกไป
ผมดูข้อมูลที่ “หมอพร้อม” สรุปตัวเลขผู้จองฉีดใน ๗๗ จังหวัด ไม่แปลกใจเลย ที่นายกฯ เอ่ยปาก
“ขอชื่นชมจังหวัดลำปาง”!
ลำปาง มีประชากร ๗ แสนกว่า ปรากฏว่า เป็นจังหวัดเดียว ลงกันครบ ๑๐๐% ด้วยยอด ๒ แสนกว่า
สะท้อนถึง ผู้ว่าฯ แพทย์-พยาบาล-บุคลากรทางการแพทย์ อสม.-กำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน ของลำปาง
“ดิสรัปต์” ระบบคิด-ระบบทำงาน เป็น “ต้นแบบ” ปฏิวัติระบบราชการได้อย่างน่าชื่นชม
แล้วใครล่ะ ที่เป็นผู้ว่าฯ ลำปาง?
นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร “ผู้ว่าฯหมูป่า” นั่นเอง!
กทม.คน ๑๕ ล้าน….
ชักจูงใจให้ลงทะเบียนกันได้แค่ ๕ แสนกว่าคน
ดูภาพรวม สว.มีถึง ๑๖ ล้านคน แต่ระบบทำให้มาฉีดได้แค่ ๑.๕ ล้านคน
ต้องถามด้วยเกรงใจว่า….
รัฐมนตรีมหาดไทย “พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา” ท่านดิสรัปต์ระบบคิดในระบบบริหารหรือยังครับ?
ภาคเหนือ ๙ จังหวัด ประชากร ๖.๓ ล้านคน
ภาคใต้ ๑๔ จังหวัด ๙.๒ ล้านคน
ภาคตะวันออก ๗ จังหวัด ๔.๗ ล้านคน
ภาคกลาง ๒๑+๑ (กทม.)จังหวัด ๒๐ ล้านคน
ภาคตะวันตก ๕ จังหวัด ๓.๓ ล้านคน
ภาคอีสาน ๒๐ จังหวัด ๒๒.๒ ล้านคน
รวม ๖๖ ล้านคน โดยประมาณ
หักจาก กทม.ที่ลงทะเบียน ๕ แสนคน
ที่เหลือ ๗๕ จังหวัด (ยกเว้นลำปาง) ผู้ว่าฯ แต่ละจังหวัด ภายใต้วิสัยทัศน์นำของท่าน
ทำให้คนวัย ๖๐ อัพ มาลงทะเบียนได้ รวมแล้ว ๑ ล้านคนเท่านั้นหรือ?
ดิสรัปต์ ก็ดี, ๔.๐ ก็ดี, ไทยศตวรรษใหม่ก็ดี
นายกฯ ประยุทธ์ กับ ผู้ว่าฯ ณรงศักดิ์ ทำให้ผมมองเห็นแล้วหละว่า
“คนแบบไหน” จะนำประเทศไปถึงจุดนั้นได้!