เปลว สีเงิน
ก่อนคุยอะไรกันวันนี้ อยากให้อ่านนี่ก่อน
โดยเฉพาะท่านนายกรัฐมนตรี
ในฐานะผู้กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
แถลงการณ์สำนักงานศาลยุติธรรม
สำนักงานศาลยุติธรรมขอแจ้งให้ทราบว่า ในการดำเนินกระบวนพิจารณาพิพากษาและมีคำสั่งในคดีทั้งปวง
ศาลยุติธรรมให้ความสำคัญกับสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการแสดงความคิดเห็นเสมอมา และรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน
โดยเฉพาะความคิดเห็นทางวิชาการที่มุ่งก่อให้เกิดความสร้างสรรค์และพัฒนาการบังคับใช้กฎหมายในประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมที่เกิดขึ้นบริเวณศาลอาญาเมื่อคืนวันที่ 2 พฤษภาคม ที่ผ่านมา
ที่บุคคลจำนวนหนึ่ง ใช้ความรุนแรงด้วยการขว้างปาสิ่งของ ใช้เครื่องมือยิงวัสดุเข้ามาในอาคารศาล การใช้วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง จนเกิดความเสียหาย ความรุนแรงและไม่สงบขึ้น นั้น
นอกจากจะเป็นการทำลายทรัพย์สินของทางราชการแล้ว ยังอาจก่อให้เกิดอันตรายแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ดูแลรักษาความปลอดภัยในบริเวณศาลอาญา
ถือไม่ได้ว่าเป็นการแสดงความคิดเห็นในระบอบประชาธิปไตย และอันเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยชอบธรรมภายในกรอบของกฎหมาย
อีกทั้งยังมีลักษณะของการก้าวล่วงใช้ความรุนแรงเพื่อแทรกแซงโดยหวังผลให้ศาลมีคำสั่งหรือคำพิพากษาไปในทางหนึ่งทางใดตามที่กลุ่มผู้ใช้ความรุนแรงมุ่งประสงค์
โดยไม่ต้องคำนึงถึงหลักเกณฑ์ของกฎหมาย อันเป็นการมุ่งทำลายความอิสระของตุลาการตามรัฐธรรมนูญ
นอกจากการใช้ความรุนแรงดังกล่าวแล้ว
ปัจจุบัน ยังมีพฤติกรรมทำนองขู่เข็ญ และสร้างความหวาดกลัวไม่เพียงแก่บุคลากรในศาลยุติธรรมเท่านั้น
หากแต่ยังมีการขู่เข็ญและสร้างความหวาดกลัวไปยังบุคคลในครอบครัวของผู้พิพากษาและบุคลากรในศาลยุติธรรมด้วย
ทั้ง ๆ ที่บุคคลดังกล่าว ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพิจารณาพิพากษาคดีแต่อย่างใด
พฤติกรรมดังกล่าวที่มีการกระทำในลักษณะเป็นขบวนการ ใช้สื่อโซเชียลต่าง ๆ ล้วนมุ่งหวังให้เกิดผลในทำนองเดียวกับการใช้ความรุนแรงข้างต้น
ที่ต้องการให้ศาลพิจารณาพิพากษาคดีหรือมีคำสั่งในทางที่ตนเองหรือขบวนการของตนต้องการ โดยไม่คำนึงถึงหลักเกณฑ์ของกฎหมาย
จึงไม่ใช่การแสดงความคิดเห็นหรือการใช้เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญอันชอบธรรมในระบอบประชาธิปไตย
ในการนี้ สำนักงานศาลยุติธรรม จึงขอให้พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบได้ตรวจสอบการกระทำและพยานหลักฐานที่ปรากฏ
หากมีการกระทำใดที่เป็นการละเมิดหรือฝ่าฝืนกฎหมาย ขอให้พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบดำเนินการตามขั้นตอนและกระบวนการของกฎหมายอย่างเคร่งครัด
และขอให้พี่น้องประชาชนทุกภาคส่วนแสดงความคิดเห็นและใช้เสรีภาพของตนอย่างสันติ ด้วยความสงบ
และงดเว้นการกระทำใด ๆ ที่อาจเป็นอันตรายแก่ชีวิต เป็นภยันตรายแก่ร่างกาย หรือสร้างความเสียหายแก่ทรัพย์สินไม่ว่าของส่วนบุคคลหรือของทางราชการ
และให้การดำเนินกระบวนพิจารณาต่าง ๆ ดำเนินไปตามครรลองของกฎหมายที่มีการตรวจสอบและถ่วงดุลตามที่กฎหมายกำหนด
ในการพิจารณาพิพากษาคดีทั้งปวง ศาลยุติธรรมทุกศาลจะยังคงทำหน้าที่ด้วยความเป็นกลาง ปราศจากอคติ พิพากษาและมีคำสั่งให้คู่ความทุกฝ่ายได้รับความยุติธรรมภายใต้กรอบของกฎหมายอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกันต่อไป.
สำนักงานศาลยุติธรรม
๓ พฤษภาคม ๒๕๖๔
ก็ไม่ต้องท้าวความถึงริยำกรรมกลุ่ม REDEM ที่ยกขบวนจากอนุสาวรีย์ชัยฯไปย่ำยี-หยาบช้าแบบมิยำเกรงต่อ “ศาลอาญา” เมื่อ อาทิตย์ที่ ๒ พฤษภา.
คุกคาม-ข่มขู่ จ้วงจาบหยาบช้าต่อผู้พิพากษา ให้ปล่อยตัวแกนนำกลุ่มราษฎรและแนวร่วมที่ถูกคุมขังที่เรือนจำ เช่นเพนกวิน-รุ้ง เป็นต้น
เพราะแถลงการณ์นั้น กล่าวไว้โดยตรงและโดยละเอียดอยู่แล้ว
ฉะนั้น เข้าประเด็นกันเลย
๑.นี่ไม่ใช่การชุมนุุมโดยสันติ ปราศจากอาวุธ ตามกรอบสิทธิเสรีภาพอันรัฐธรรมนูญและกฎหมายกำหนด
๒.เป็นพฤติกรรมกองโจร ก่อความไม่สงบในบ้านเมือง มุ่งหมายล้มล้างการปครอง และสถาบันพระมหากษัตริย์
๓.กองโจรชื่อต่างๆ เหล่านี้ ควบคุม-สั่งการ โดย “คณะบุคคล” คณะหนึ่ง ประกอบด้วย
กลุ่มการเมือง กลุ่มทุน กลุ่มอาจารย์มหา’ลัย กลุ่มนักธุรกิจ กลุ่มต่างชาติ ในสัญลักษณ์ ๓ นิ้ว
๔.การข่มขู่ คุกคามศาล อันที่ใดในโลก แม้ในดินแดนจะป่าเถื่อนขนาดไหน ก็ไม่เคยปรากฏว่าเขาจะทำเช่นนี้ มีแต่ในประเทศไทย ขณะนี้ โดยกลุ่ม ๓ นิ้ว นี้เท่านั้น
๕.การทำลายสถาบันศาล เป็นส่วนหนึ่งในเป้าหมาย มุ่งทำลายภาพลักษณ์ประเทศ พุ่งเป้าล้มล้างสถาบันชาติ
๖.เห็นจาก โพสต์ร่ายโศลก ยกย่องการกระทำเพนกวินในศาล ว่าขณะนี้ ทั้งหลังคาสถาบันกษัตริย์และหลังคาศาล ถูกพวกเขารื้อออกแล้ว
กับ “สถาบันบริหาร” ไม่ต้องพูดถึง ถูกรื้อรายวัน ทั้งในสภา-ในถนน โดยขบวนการ ๓ นิ้ว ร้อยชื่อ-พันหน้า
๗.คงจำกันได้ เมื่อ ๒๓ ตุลา.๖๓ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ แถลงไว้ว่า
“………ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคอนาคตใหม่ ผมเคยแถลงว่า ภาพยนตร์ยุบพรรครอบนี้จะไม่จบแบบเดิม หากผู้กำกับภาพยนตร์ยุบพรรคอนาคตใหม่จะเป็นการตัดไฟแต่ต้นล้ม ถือว่าเป็นการคิดผิด
เพราะจะเป็นไฟลามทุ่ง ๘ เดือนที่ผ่านมา พิสูจน์แล้วว่าไฟลามทุ่งจริงๆ”
ทีนี้ ก็ถึงประเด็นกล่าวถึงนายกฯ ไม่ใช่เพราะคิดอะไรไม่ออกก็บอกนายกฯ หรอกครับ
แต่ที่พูดถึง เพราะท่านเป็นผู้กำกับดูสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงมีอยากเสนอประเด็นเพื่อพิจารณา
๑.น้อยครั้งจะเห็นศาลแถลงการณ์เช่นนี้ แสดงว่าครั้งนี้รุนแรง เลยเถิด เกินรับได้ เจ้าหน้าที่ไม่สามารถระงับยับยั้งได้ด้วยปฏิบัติการเดิมๆ
๒.เข้าใจตำรวจนครบาล โจรกระทืบตำรวจ บอกสมน้ำหน้า แต่ตำรวจแค่เหยียบตีนโจร ตะโกนขรมว่าตำรวจทำร้ายประชาชน
ดังนั้น การระงับเหตุจากกลุ่มคนมีปลอกคอ ซึ่งทั้งได้ใจและทั้งรุนแรงหวังเป็นเชื้อจลาจล จึงไม่เหมือนจับคนร้ายทั่วไป
อีกอย่าง เป็น ๒-๓ ปีต่อเนื่อง ตำรวจต้องระดมมาพับเพียบให้โจร ๓ นิ้ว ที่มี “ทนายสิทธิฯ” คอยพิทักษ์ทางกฎหมาย ก็ทั้งอ่อนล้าและอ่อนใจ
ที่สำคัญ การทำสำนวนคดีไม่ใช่เรื่องง่าย ถูกกระทืบแล้ว ตำรวจยังต้องไปตามตัวผู้ต้องหา ต้องรวบรวมพยานหลักฐาน และต้องสอบสวนแข่งกับเวลาควบคุมตัว
“นครบาล” ตั้งแต่ผบช.น.ลงไปถึงพลตำรวจ เรียกว่า “รากเลือด”
๓.คณะ “ล่มชาติ-ล้มสถาบัน” ไม่หยุดแน่ เพราะมีทั้งการเมือง การเงิน การทูต การสื่อ หนุนหลัง
มันจะย่ำยีกับศาลกับบ้านเมืองไปเรื่อยๆ ในรูปแบบต่างๆ เพื่อบีบให้ศาลทำตามที่ต้องการ
๔.นายกฯ ควรมอบหมายระดับรองผบ.ตร.ท่านใด-ท่านหนึ่ง มาทำหน้าที่แม่งาน ควบคุมงานปราบปรามกลุ่มก่อการร้ายนี้โดยตรง
อย่าให้เหตุการณ์อย่างที่ผ่านมา เกิดขึ้นอีกกับศาลและกับผู้พิพากษา รวมถึงสถานที่ราชการทั่วไป
๕.ผมขอเสนอ “พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์” รอง ผบ.ตร.ให้ท่านนายกฯพิจารณา
ถ้าเห็นว่าหลักการนี้มีเหตุผลและเห็นว่า “พล.ต.อ.สุชาติ” น่าจะทำหน้าที่ดับไฟลามทุ่ง หรือสกัดไฟลามทุ่งให้อยู่ในวงจำกัดได้ เพื่อสถาบัน เพื่อประชาชน เพื่อสังคมชาติ
แม้ไฟจะยังไม่ดับเสียทีเดียว ………
แต่อย่างน้อย การมีเจ้าภาพชัดเจน และประสบการณ์ด้วยชื่อ-ชั้นของ “พล.ต.อ.สุชาติ”
เยิ่นกันซักยก ระหว่าง “ไฟลามทุ่ง” กับ “มือปราบลงทุ่ง” แล้วดูซิ
ใครจะเป็น “เจ้าทุ่ง”?