จากราชประสงค์ ถึง อุบลฯ – เปลว สีเงิน

เปลว สีเงิน

โทษที….ที่หายหน้าไป ๒ วัน โดยไม่ได้ลาครู
แต่กลับมาวันนี้แล้ว
กะหลังยาวต่อซักอีกวัน-สองวัน มาเจอ “ม็อบสามนิ้ว” ติดสัดนอกฤดู ยึดราชประสงค์เพิ่มรอบชุุมนุม (๒๔ มี.๖๔) จากเสาร์/อาทิตย์
เลยคันปาก อยากคุย
ก็พยายามนึก มีเหตุอะไรที่สามสัสต้องส่งสมุนออกมาชุมนุมย่านธุรกิจการค้า ในวันทำงานปกติ โดยไม่เกรงใจสังคม?

ฟังข่าว เขาบอกว่า ๒๔ มีนา.เป็นวัน “ครบ ๒ ปี” เลือกตั้ง
อ้างส่งเดชไปงั้น บอกตรงๆ ก็สิ้นเรื่อง ว่าพวกกูกวนเมือง อยากหาเรื่อง จะได้อาศัยเป็นเหตุ ตีตั๋วต่อ

เสาร์ที่ ๒๐ มีนา.มาแบบจงใจหาเรื่อง
ไม่มีแกนนำ ไม่มีปราศรัย ปะหน้าก็ขว้างปาทุบตีตำรวจกันเลย ก็ได้เรื่องไปพอสมควร
มาเย็นวาน สามสัสผนึกแก๊งจานหลังม็อบ ออกแบบใหม่

ยั่วเมือง แบบมีแกนนำ มีการตั้งเวที
ส่ง ๓ ดาราดังขึ้นชู ๓ นิ้ว เท่าที่อ่านจากข่าวโหมโรงตอนบ่าย บอกว่า มี “มายด์” ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล

สาวมายด์คนนี้ คงจำกันได้ นำชุมนุมหน้าสถานทูตเยอรมนี ตอนนี้เป็นผู้ต้องหา มาตรา ๑๑๒ และ ๑๑๖

“เบนจา อะปัญ” จากแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม เป็นอีกตัวท็อปของแก๊งธรรมศาสตร์ เคยแสดงบทบาทที่ไอคอนสยาม พยายามชักธงดำขึ้นยอดอาคารที่ธรรมศาสตร์ ดีกรี มาตรา ๑๑๒ เช่นกัน

และ “นายอรรถพล บัวพัฒน์” หรือ ครูใหญ่ เจ้าภาพ “ธงแครอท” เป็นผู้ต้องหามาตรา ๑๑๒ รุ่นเดียวเพนกวิน ในคดีชุมนุมธรรมศาสตร์
ที่เล่นบทหมอผี นุ่งขาว-ห่มขาวทำพิธีฝังฝาส้วม ๓ นิ้ว จนถูกไฟดูด และในอีกหลายคดี ตอนนี้ อยู่ระหว่างประกันตัวออกมานั่นแหละ

ดูรายชื่อแล้ว ต้องบอกว่า “วอนนอนคุก” โดยตรง!

ทั้ง ๓ คน นี้ อัยการนัดฟังคำสั่งฟ้องวันนี้ คือ ๒๕ มีนา.แต่แทนที่จะทำตัวให้เรียบร้อย กลับขึ้นเวทีเป็นการท้าทาย
จะสั่งลาไปเข้าคุก….

หรืออุ่นเครื่องรอยกขบวนส่งตัวเช้านี้ หรือมีเหตุใด ก็ช่างเขาเถอะ ในเมื่อกล้าทำซ้ำซาก แสดงว่าพร้อม มีแผนเผชิญคุก
ตลอด “สัปดาห์สิ้นเดือนมีนา.” นี้ ประเมินว่า “ขบวนการล่มชาติ-ล้มสถาบัน” จะกวนเมืองตลอดทั้งสัปดาห์

พวกเขาจะสุมไฟไปเรื่อยๆ ……….
รอเชื้อจากสถานการณ์ที่จะมีมาตอนสัปดาห์ต้นเดือนเมษา.และการประชุมพรบ.ประชามติ ที่เปิดสมัยวิสามัญ วันที่ ๗-๘ เมษา.

คือในตลาดเขาทอล์คกันว่า ต้นเมษา.จะมีข่าวใหญ่
“ใหญ่” คืออะไร ผมก็ไม่รู้ ตามสไตล์บิ๊กป้อม!

ที่พอเข้าใจ คือเรื่องในสภาว่าด้วยพรบ.ประชามติ ที่ฝ่ายรัฐบาลเพลี่ยงพล้ำให้ฝ่ายค้านไปแล้ว ตอนโหวตผ่านมาตรา ๙
นี่แหละ เป็นอีก ๑ เชื้อไวไฟ!

ตอนนี้ พูดกันไปถึงขั้น “ชี้ขาด-วัดดวง” รัฐบาลไปเลย ว่าจะอยู่หรือจะยุบ?

คือพรบ.นี้เป็นพรบ.สำคัญ รัฐบาลเป็นผู้เสนอร่างต่อรัฐสภา ซึ่งผ่านวาระแรก และผ่านขั้นกมธ.เรียบร้อย

แต่พอเข้าวาระ ๒ ถึงมาตรา ๙ ว่าด้วยการจัดออกเสียงประชามติ ปรากฏว่า ตอนโหวตเสียง
มีฝ่ายรัฐบาลบางส่วน ไปโหวตให้ฝ่ายค้านที่ขอแก้ไขใหม่ เป็นผลให้มาตรา ๙ เนื้อหาที่รัฐบาลเสนอ เปลี่ยนไปเป็นเนื้อหาตามที่เพื่อไทยเสนอ

พูดง่ายๆ ว่า รัฐบาลแพ้ฝ่ายค้าน “กลางยก”
แพ้เพราะพรรครัฐบาล “ปันใจ” ให้พรรคฝ่ายค้าน ซึ่งลักษณะนี้ มองเป็นอื่นไม่ได้ นอกจากว่า
เป็นรอยปริแยกของพรรคร่วม สืบเนื่องจากร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญไปตั้งสสร.เขียนใหม่ทั้งฉบับถูกคว่ำ

ประชาธิปัตย์ “ไม่พอใจ” อย่างแรงจนออกนอกหน้า
ภูมิใจไทย ก็ไม่พอใจเช่นกัน แต่แสดงออกครึ่งหน้า

ภาพรวมการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ เมื่อประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย ร่วมฝ่ายค้าน “กระทำการไม่สำเร็จ”
กลายเป็น “อารมณ์ค้าง” ร่วมกันกรุ่นอยู่
พอรุ่งขึ้น รัฐสภาประชุมต่อด้วยเรื่องพรบ.การออกเสียงประชามติ ถึงตอนโหวตมาตรา ๙

“บางส่วน” ในซีกรัฐบาล ไปโหวตให้ฝ่ายค้านชนะ จนต้องหยุดประชุม รัฐบาลไปตั้งหลักใหม่ในวันที่ ๗-๘ เมษา.

ย่นย่อ…เป็นอย่างนี้

รัฐบาลที่ต้อง “ตามประจบเสียง” พรรคร่วม ก็ไม่ต่าง “อีเย็น” นางทาสของคุณหลวง
จะเอารถ เอาเรือ เอาสัมปทาน เอาถนน เอาถุงมือยาง
ก็ทูนหัวให้

อยากได้รัฐมนตรีพรรคเดียวกัน “กินทั้งกระทรวง”
ก็ทูนหัวให้

แต่กับประชาชน อยากให้ปฏิรูประบบราชการ
กลับถีบหัวให้
นายกฯ บริหารความต้องการพรรคร่วม สำคัญเร่งด่วน อันดับ ๑

บริหารปัญหาประชาชน สำคัญอันดับ ๑/๑
บริหารภาพรวมสังคมเปลี่ยนผ่าน สำคัญอันดับ ๑/๒

ไม่มีใครพูด…….
แต่การกระทำ มันบอก!

ผู้นำประชาธิปัตย์เล่นบท “พระเอกประชาธิปไตย” เร่งขอแก้รัฐธรรมนูญใหม่อีกครั้ง เป็นลมหายใจเข้าออกอยู่ตอนนี้
นายกฯ ก็ต้องเอาใจเขาดีๆ เขาอยากได้อะไรก็รีบตามใจเขาซะ

ไม่งั้น ประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย ยกพวงไปต่อพวงเพื่อไทย รัฐบาลก็จะคว่ำ!

ไม่ต้องถึงระดับพรบ.การเงินหรอก พรบ.ประชามตินี่แหละ ถ้าถูกคว่ำวาระ ๓ รัฐบาลก็ต้องคว่ำ
ถ้าไม่ต้องการเป็น “รัฐบาลหน้าหนา”!

เอาละ…คุยเรื่องผมบ้าง
ที่หายไป ก็เพื่อนมกร์เขาชวนไปอุบลราชธานี ผมไม่เคยไป ก็เลยตามเขาไป

ต้องบอกว่าเป็นบุญต่อชะตาชีวิตผมจริงๆคือได้ไป “วัดหนองป่าพง” ของหลวงพ่อชา สุภัทโท อันจิตน้อมถึงมายาวนาน

แม้ไม่มีวาสนาได้กราบท่านตอนมีชีวิตอยู่ แต่การได้ไปกราบหน้ารูปปั้นจำลองตัวท่าน ได้สัมผัสความเป็นวัดหนองป่าพง แค่นั้น รับรู้ถึง “บุญ” ทันที

“บุญ” ในที่นี้ คือบุญตามคำสอนหลวงพ่อชาที่ว่า
“บุญไม่ต้องไปหามาจากที่ไหน
เลิกทำบาปตอนไหน บุญก็เกิดตอนนั้น”

ทุกคำสอนหลวงพ่อชา ฟังง่าย เข้าใจง่าย อยางที่ว่า
“การทำบุญ โจรมันก็ทำได้ มันเป็นแค่ปลายเหตุ การไม่ทำบาปทั้งหลายทั้งปวง นั้นคือต้นเหตุ”

๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ หลวงพ่อชา กลั่นแก่นเป็นคำสอนแค่นี้เอง
ฟังดูง่าย แต่ร้อยปี ปฏิบัติกันได้สัก ๑ ก็ยังหายาก!

สรุปว่า แผ่ใจจากหน้ารูปจำลองหลวงพ่อชามาฝากทุกท่าน

อุบลฯ นั้นสมนาม เป็นเมืองคนดี สงบ สะอาด เรียบร้อย ผู้คนอารยะทางจิตใจสูง ไม่มีคนเกเรให้เห็นตามถนน

เป็นเมืองแรกที่เห็นนักเรียน นักศึกษา พากันไปไหว้พระตามวัดก่อนไปสอบ เห็นแล้วเป็นสุขลึกๆ ในใจ

อุบลฯ คือประเทศไทย ประเทศไทยคืออุบลฯ
อยากให้เป็นอย่างนั้นจริงๆ….

คนไทยทุกคน จะได้เป็น “ชาวฟ้า-ชาวสวรรค์” อย่างที่คนอุบลฯเขาเป็น.

Written By
More from plew
กระเป๋ารถเมล์กับผู้มีเกียรติ-เปลว สีเงิน
เปลว สีเงิน มีข่าวที่ “ไม่เป็นข่าว” อยู่นิด แต่ผมว่า “มีค่าสูง” ทางสังคมมาก! มากชนิดที่ต้องป่าวประกาศให้รู้กันกว้างๆ และช่วยกันยกย่อง-เชิดชู ให้เป็นแบบอย่าง เพื่อ...
Read More
0 replies on “จากราชประสงค์ ถึง อุบลฯ – เปลว สีเงิน”