17 ก.พ.64 เวลา 10.35 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวชี้แจงในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 ปีที่ 2 ครั้งที่ 23 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล กรณีหนี้สาธารณะ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ปัญหาหนี้สาธารณะ มีทั้งหนี้ที่เกิดจากโครงการในอดีตที่ล้มเหลว ทำให้รัฐบาลต้องมารับช่วงผ่อนชำระต่อ อาทิ โครงการรับจำนำข้าว รัฐบาลชดใช้ไปแล้วกว่า 705,018 ล้านบาท ณ เดือนธันวาคม 2563 เหลือหนี้อยู่ 288,401 ล้านบาท ไม่รวมดอกเบี้ยอีกกว่า 83.08 ล้านบาท รวมถึงต้องตั้งงบประมาณชดใช้อีกปีละ 23,000 ล้านบาท เป็นระยะเวลา 12 ปี และหนี้จากโครงการบ้านเอื้ออาธรกว่า 20,000 ล้านบาท โดยการเคหะชดเชยไปแล้วกว่า 10,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ ยืนยันรัฐบาลให้ความสำคัญและได้จัดสรรงบประมาณเพื่อให้ความช่วยเหลือประชากรทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเกษตรกร ผู้มีรายได้น้อย วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(SME) ผ่านกลไกธนาคารของรัฐตามมาตรา 28 ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
นอกจากนี้ ยังจัดสรรงบประมาณ เพื่อช่วยเหลือ เยียวยา และชดเชย ประชาชนทุกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้งสองระลอก ตามพระราชบัญญัติเงินกู้เป็นจำนวนกว่า 1 ล้านล้านบาท รวมไปถึง การทยอยแก้ปัญหาให้กับประชาชนด้วยการออกโครงการใหม่ต่างๆ อาทิ โครงการเราชนะที่มีวงเงิน 210,200 ล้านบาท โครงการสำหรับผู้ประกันตนมาตรา 33 มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) และโครงการการจัดซื้อวัคซีนโควิด-19
นายกรัฐมนตรีขอให้มั่นใจการพิจารณาใช้จ่ายงบประมาณอย่างเหมาะสมและพิจารณาอย่างรอบคอบของรัฐบาลในแต่ละด้าน รวมทั้ง ยึดถือความมั่นคง ผลประโยชน์ของประเทศชาติและมีประชาชนเป็นที่ตั้ง โดยพยายามทำทุกอย่างให้สุจริต โปร่งใสและเป็นไปตามกฎหมายและหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง