ศรีสุวรรณชี้เบี้ยยังชีพคนชราไม่ต้องส่งคืนถ้ารับไว้โดยสุจริต/ใช้หมดแล้วและขาดอายุความ

นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ตามที่กรมบัญชีกลาง ได้มีการตรวจสอบพบว่า มีคนชรารับเงินเบี้ยยังชีพคนชราและเงินบำนาญไปพร้อมๆกันซึ่งซ้ำซ้อนกันเป็นจำนวนกว่า 15,000 คนทั่วประเทศ ไม่เป็นไปตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 2552

จึงมีหนังสือแจ้งไปยังกรมการปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อแจ้งให้ท้องถิ่นต่างๆทั่วประเทศตรวจสอบรายชื่อผู้สูงอายุในเขตอำนาจของตน เพื่อทวงคืนเงินทั้งหมดส่งกลับกรมบัญชีกลาง เพราะตามหลักกฎหมายถือว่า “เป็นลาภมิควรได้” จนกลายเป็นประเด็นปัญหาต่อผู้สูงอายุเป็นจำนวนมากอยู่ในขณะนี้นั้น

แต่การมาเรียกเงินคืนจากผู้สูงอายุในขณะนี้ ถือได้ว่าเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย เนื่องจากตามหลักกฎหมายว่าด้วย “เป็นลาภมิควรได้” ตาม ป.พ.พ.มาตรา 412 นั้นท่านว่า “เมื่อบุคคลได้รับไว้โดยสุจริตจึงต้องคืนลาภมิควรได้เพียงส่วนที่ยังมีอยู่ในขณะเมื่อเรียกคืน” เท่านั้น และใน มาตรา 419 ก็บัญญัติไว้ชัดเจนว่า “ในเรื่องลาภมิควรได้นั้น ท่านห้ามมิให้ฟ้องคดีเมื่อพ้นกำหนดปีหนึ่งนับแต่เวลาที่ฝ่ายผู้เสียหายรู้ว่าตนมีสิทธิเรียกคืน หรือเมื่อพ้นสิบปีนับแต่เวลาที่สิทธินั้นได้มีขึ้น”

กรณีการจ่ายเบี้ยยังชีพให้กับผู้สูงอายุดังกล่าว เป็นการดำเนินการของรัฐบาลผู้เสียหาย คือ กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ซึ่งดำเนินการมาตั้งแต่เริ่มมีระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 2552 ซึ่งมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 22 ต.ค.2552 แล้ว รวมระยะเวลาก็กว่า 11 ปีไปแล้ว และกระทรวงการคลังเริ่มมีการตรวจพบปัญหาความซ้ำซ้อนดังกล่าวมาตั้งแต่เดือน พ.ย.2562

และต่อมากรมบัญชีกลางก็ได้มีหนังสือแจ้งไปยังกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นให้แจ้งจังหวัด อำเภอและท้องถิ่นต่าง ๆ ในการทวงถามการขอเงินคืนไปยังผู้สูงอายุต่างๆที่รับเงินซ้ำซ้อนดังกล่าว ซึ่งอาจเกินระยะเวลา 10 ปีตามที่กฎหมายกำหนดไปแล้ว

นอกจากนั้นยังมีหลักฐานอีกว่านางนิโลบล แวววับศรี รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ก็ได้แถลงเองว่าเหตุผลที่เพิ่งมีการตรวจสอบข้อมูลดังกล่าว ทั้งที่การจ่ายเงินคนชราเริ่มมาตั้งแต่ปี 2552 นั้นก็เพราะการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกระทรวงมหาดไทยกับกรมบัญชีกลางในเรื่องดังกล่าว เพิ่งจะมีการเชื่อมโยงอย่างสมบูรณ์เมื่อปี 2563 ดังนั้น ข้อมูลที่พบว่ามีการรับเงิน 2 ทาง คือ


ทั้งเบี้ยยังชีพคนชราและเงินบำนาญจึงเกิดขึ้น ซึ่งเป็นการชี้ให้เห็นว่า กรมบัญชีกลาง และกระทรวงการคลัง เริ่มรับรู้ถึงความเสียหายเมื่อพ้นกำหนด 1 ปี หรือเกินระยะเวลา 10 ปีไปแล้ว จึงไม่มีสิทธิฟ้องร้องเรียกเงินคืน เพราะ “ขาดอายุความ” ไปแล้วนั้นเอง
อีกทั้งมีแนวคำพิพากษาของศาลฎีกาที่ 10850/2559 ระบุไว้ชัดเจนว่า “จำเลยได้รับเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญไว้โดยสุจริตและนำไปใช้จ่ายหมดแล้วก่อนที่โจทก์จะเรียกคืน จำเลยจึงไม่ต้องคืนเงินดังกล่าวแก่โจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 412” ดังนั้นการที่กรมบัญชีกลางเรียกคืนเงินดังกล่าว จึงใช้อำนาจกระทำการโดยมิชอบด้วยกฎหมายนั้นเอง นายศรีสุวรรณ กล่าวในที่สุด

Written By
More from pp
UNHCR เปิดงานวันผู้ลี้ภัยโลก ผ่าน “เทศกาลภาพยนตร์ผู้ลี้ภัย ครั้งที่ 10 และเรือลำพิเศษ เนื่องในวันผู้ลี้ภัยโลก”
สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ระลึกถึงวันผู้ลี้ภัยโลก ร่วมกับ สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย สถานเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย บริษัท เรือด่วนเจ้าพระยา จำกัด และท่ามหาราช
Read More
0 replies on “ศรีสุวรรณชี้เบี้ยยังชีพคนชราไม่ต้องส่งคืนถ้ารับไว้โดยสุจริต/ใช้หมดแล้วและขาดอายุความ”