ย้อนดูเงาก่อนซักฟอก

ผักกาดหอม

งับกันฝุ่นตลบ

            ๓ นิ้วขัดใจ ที่ ส.ส.พรรคก้าวไกล และอดีต ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ รวม ๓๒ คน ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์

เห็นยื่นคำขาดว่า ให้เอาไปคืน

            เผื่อชาว ๓ นิ้วยังไม่รู้ว่า การคืนเครื่องราชฯ ทำได้หรือเปล่า ทำอย่างไร

            เอาหลักเกณฑ์การคืนเครื่องราชฯ มาฝากครับ

            การคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์เป็นหน้าที่ของผู้ได้รับพระราชทานฯ ต้องกระทำตามข้อบัญญัติที่กำหนดไว้ตามพระราชบัญญัติเครื่องราชอิสริยาภรณ์ แบ่งออกเป็น ๓ กรณี คือ

            ๑.คืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นรอง เมื่อผู้ได้รับพระราชทานฯ ได้รับพระราชทานเครื่องราชฯ ชั้นสูงขึ้น (ช้างเผือก,  มงกุฎไทย) ไม่ต้องคืนประกาศนียบัตรกำกับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ (ผู้ได้รับพระราชทานสามารถถือครองเครื่องราชฯ ชั้นสูงสุดของแต่ละตระกูลไว้ ได้เท่านั้น ส่วนชั้นรองลงไปต้องส่งคืนหมด)

            ๒.คืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทุกชั้นที่ได้รับ เมื่อผู้ได้รับพระราชทานฯ ถึงแก่กรรม โดยให้ทายาทเป็นผู้ส่งคืน (ช้างเผือก, มงกุฎไทย) ไม่ต้องคืนประกาศนียบัตรกำกับ เครื่องราชอิสริยาภรณ์

            ๓.คืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เมื่อทรงพระกรุณาให้เรียกคืน ต้องคืน ใบประกาศนียบัตรกำกับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ด้วย

            การคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ในกรณีใดๆ ตามที่กล่าวข้างต้น ถ้าผู้ได้รับพระราชทานฯ ไม่สามารถนำเครื่องราช อิสริยาภรณ์มาคืน ก็สามารถชดใช้เงินแทนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ตามราคาที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีกำหนด ซึ่งจะมีการปรับราคา ตามมติคณะรัฐมนตรี ทุก ๓ ปี

            เข้าใจตรงกันนะครับ

            จู่ๆ จะเดินเอาไปคืนไม่ได้ ต้องเป็นไปตาม ๓ กรณีนี้เท่านั้น ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเป็นรายบุคคล ทั้งสิ้น  ๑๐ คน

            หวยออกตามนี้…

            ๑.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

            ๒.พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี

            ๓.นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข

            ๔.นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์

            ๕.นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน

            ๖.พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

            ๗.นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

            ๘.นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย

            ๙.ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

            และ ๑๐.นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม

            ไฮไลต์อยู่ที่นายกรัฐมนตรี

            ข้อหายาวเป็นหางว่าว

            “…..บริหารราชการแผ่นดินล้มเหลว ผิดพลาดบกพร่องอย่างร้ายแรง ไร้ประสิทธิภาพ ไร้ภูมิปัญญา ไร้ความสามารถ  ไร้คุณธรรม จริยธรรม ไร้ภาวะผู้นำ ไร้จิตสำนึก และความรับผิดชอบ

                มีพฤติการณ์ฉ้อฉล ทุจริต ปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตเพื่อสร้างความร่ำรวย มั่งคั่งให้กับตนเองและพวกพ้อง ท่ามกลางภาวะที่ประชาชนดำรงชีวิตอย่างยากลำบาก และมีการระบาดของโรคโควิด-๑๙ ยิ่งทำให้สภาพเศรษฐกิจดิ่งเหว  ทั้งหมดเกิดจากการบริหารที่ผิดพลาดของตนเอง

                มีการใช้อำนาจแลกผลประโยชน์ทำให้การทุจริตแพร่กระจายไม่ต่างจากโรคระบาด จนได้ชื่อว่าเป็นยุคที่การทุจริตเฟื่องฟู เบ่งบานมากที่สุด

                ไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต เปิดเผย ปกปิดการกระทำความผิดของตนเองและพวกพ้อง ไม่มีความรอบคอบ ระมัดระวังในการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดิน

                ไม่รักษาวินัยการเงินการคลังของรัฐ มุ่งประโยชน์แต่การสร้างความนิยมชมชอบให้กับตนเอง โดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน

                กระทำการอันเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ สร้างความแตกแยกในสังคม ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการแสวงหาผลประโยชน์และทำลายผู้เห็นต่าง

                ปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชนและสื่อมวลชน ปล่อยปละละเลยให้มีบ่อนการพนันกระจายไปทั่ว

                ไม่ยึดมั่นและศรัทธาในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทำลายและเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย  ทำลายความสัมพันธ์อันดีระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับประชาชน นำสถาบันเป็นข้ออ้างเพื่อแบ่งแยกประชาชน แอบอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นเกราะปิดบังความผิดพลาดล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดินของตนเอง

                ละเมิดหลักนิติรัฐ นิติธรรม และสิทธิมนุษยชน ทำลายระบบคุณธรรมในระบบราชการ แทรกแซงกระบวนการยุติธรรม

                การบริหารราชการแผ่นดินของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศทั้งระบบเศรษฐกิจ สังคม และกระบวนการยุติธรรมอย่างร้ายแรง…..”

                โทษหนักขนาดนี้ เอาไปประหารชีวิตเถอะครับ!

            มีคำถามว่า คนตั้งข้อหามีพฤติกรรมต่างจากข้อหาที่ตั้งเพื่อซักฟอก “ลุงตู่” อย่างไร?

                ย้อนไปเมื่อครั้งฝ่ายค้านยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๖ วันนั้นญัตติเขียนไว้ว่า

                “….เนื่องจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้บริหารราชการแผ่นดินบกพร่องล้มเหลว ไร้ประสิทธิภาพ ไร้ภูมิปัญญา ไร้ความสามารถ ไร้คุณธรรม จริยธรรม ไร้ภาวะผู้นำ ไร้สำนึก ไร้ความรับผิดชอบทั้งต่อสภาและต่อประชาชน  ลอยตัวหนีปัญหา เลือกปฏิบัติ พูดอย่างทำอย่าง ปากว่าตาขยิบ ชอบแอบอ้างประชาธิปไตย กระทำการอันไม่บังควร สมรู้ร่วมคิดกับพวกพ้อง ทำลาย ข่มขู่ ก้าวก่าย สถาบันหลักในระบอบประชาธิปไตย ทั้งสภานิติบัญญัติ ตุลาการและองค์กรอิสระ มุ่งแก้ปัญหาของบุคคลในครอบครัวมากกว่าปัญหาประชาชน

                ทั้งมีพฤติกรรมฉ้อฉล ทุจริต ปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริต จงใจปกปิดข้อมูลเพื่อปิดบังการทุจริตและล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดิน ส่งเสริม ปกป้องการฉ้อราษฎร์บังหลวงและการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบเพื่อตนเอง ความร่ำรวยของครอบครัวและวงศ์วานว่านเครือ ขณะที่ประชาชนกลับจนลงได้รับความเดือดร้อนแสนสาหัส นโยบายรณรงค์ต่อต้านการทุจริตเป็นแค่เพียง ‘ละครปาหี่’ ไม่มีผลปฏิบัติจริง จนยุค น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี  กลายเป็นยุคที่การคอร์รัปชันเบ่งบานที่สุดยุคหนึ่งในประวัติศาสตร์โดยที่นายกรัฐมนตรี ไม่ได้แยแส ใส่ใจ จัดการ ตามอำนาจหน้าที่แต่อย่างใด

                อีกทั้ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังกระทำผิดกฎหมายซ้ำซาก วางแผนใช้อำนาจออกกฎหมายเพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์โดยมิชอบอันเป็นการทุจริตรูปแบบใหม่ที่ซับซ้อน แยบยล ตลอดจนการใช้อำนาจรัฐบังคับใช้กฎหมายโดยมิชอบ เพื่อทำลายฝ่ายเห็นต่างทางการเมือง ปล่อยให้บุคคลในครอบครัว ‘กดปุ่ม’ สั่งการตามอำเภอใจในทุกรูปแบบ จนประเทศไทยเสมือนมีนายกรัฐมนตรีหลายคน วนเวียนหาประโยชน์ทั้งในทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ตลอด ๒ ปีที่ผ่านมา


                ภายใต้การปกครองระบอบการใช้อำนาจบาตรใหญ่ที่อาศัยแต่ความมีเสียงข้างมากจากวันเลือกตั้ง เป็นข้ออ้างกลบเสียงฝ่ายอื่นและเสียงประชาชนเพื่อใช้อำนาจนั้นตามใจตนแต่เพียงฝ่ายเดียว การบริหารราชการแผ่นดินของนายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ส่งผลให้สังคมไทยเกิดความร้าวฉาน แตกแยกครั้งใหญ่อย่างไม่เคยปรากฏ นายกรัฐมนตรีและครอบครัวกลายเป็นผู้สร้างปัญหาและเป็นตัวปัญหาของประเทศ การทุจริตแพร่กระจายไปทุกหย่อมหญ้า กระทบทั้งระบบคุณธรรม จริยธรรม หลักนิติธรรม ค่านิยมแห่งความถูกต้องดีงามของสังคมไทย การเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุน  ความไร้ประสิทธิภาพและความบกพร่องล้มเหลว ผิดพลาดของนโยบายและการบริหารราชการได้ทำให้ประเทศเสียหายตกต่ำอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน นำความทุกข์ยากเดือดร้อนมาสู่คนไทยทั้งแผ่นดิน หากปล่อยให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีมีแต่จะพาประเทศไปสู่ความวิบัติ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จึงไม่สมควรดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป…”

            อ่านจบแล้ว เป็นไงครับ?

            “ยิ่งลักษณ์” หนี “บุญทรง” ติดคุก

            วันนี้พรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายค้าน เปิดซักฟอกรัฐบาลลุงตู่ข้อหา ที่ตัวเองเคยโดนมาก่อน

            ก็สะท้อนให้เห็นครับว่า คอร์รัปชัน อยู่ยงคงกระพันจริงๆ

            ถามว่ารัฐบาลลุงตู่มีคอร์รัปชันหรือเปล่า?

            คำตอบคือมี มิสเตอร์ ๓๐% ยังอยู่ ก็อยู่ที่ฝีมือฝ่ายค้านว่าจะหาใบเสร็จได้หรือเปล่า

            แต่ยังน้อยกว่า มิสเตอร์ ๔๐% และ “เจ๊” ในรัฐบาลระบอบทักษิณ ที่ตั้งก๊วนหากินกันเป็นล่ำเป็นสัน และมูมมาม

            จะสะดุดก็ที่ข้อหารัฐบาลลุงตู่หมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแห่งองค์พระมหากษัตริย์

            เพราะก่อนนี้เห็น ส.ส.เพื่อไทยหลายคน ไปชู ๓ นิ้วร่วมกับแก๊งล้มเจ้าอยู่หลายครั้ง

            ส่วน ส.ส.ก้าวไกล ไม่ต้องพูดถึง วิ่งประกันตัวแก๊งล้มเจ้าอย่างเปิดเผย

            งานนี้เลือดสาด!



Written By
More from pp
“ทิพานัน” วอนฝ่ายค้านอย่าโยงทุกเรื่องมาที่ “พล.อ.ประยุทธ์” ตามจินตนาการ ย้ำนายกฯพร้อมตรวจสอบธุรกิจสีเทา พบผิดจริงดำเนินการตามกฎหมายอย่างเฉียบขาด
16 กุมภาพันธ์ 2566-น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 ในประเด็นข้อมูลของกลุ่มธุรกิจสีเทา ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดว่า
Read More
0 replies on “ย้อนดูเงาก่อนซักฟอก”