ผักกาดหอม
เฮ้อ….จนได้
เมื่อคืนวันเสาร์เห็นตัวเลข แรงงานเมียนมา ที่สมุทรสาคร ติดโควิดรวดเดียว ๕๑๖ คน จากที่ตรวจคัดกรอง ๑,๑๙๒ ราย
คิดเป็นร้อยละ ๔๓
บวกกับของเก่าก่อนหน้ารวม ๕๔๘ คน
มาวันอาทิตย์ สายๆ ตัวเลขขยับเป็น ๕๗๖ ราย
ตกบ่ายแก่ๆ เพิ่มมาเป็น ๖๘๙ คน
ตัวเลขน่าขนลุกขนพอง
ทางศบค. โดยคุณหมอทวีศิลป์ วิษณุโยธิน บอกว่า ไม่ใช่การระบาดรอบ ๒ แต่เป็นการติดเชื้อรอบใหม่
ฟังดูงงๆ จะซ้ำ จะซ้อน รอบ ๒ หรือรอบใหม่ ไม่ควรเล่นคำ
ไม่มีประโยชน์ เพราะของจริงคือ โควิดกลับมาอีกรอบ จะสาหัสกว่าครั้งแรกหรือไม่….นี่แหละที่ต้องตื่นตัวกัน
จะเอาไปแดกดันหวังประโยชน์ทางการเมือง มันดูไม่เป็นมืออาชีพ
โพสต์เฟซบุ๊กของ ดร.สมเกียรติ โอสถสภา เป็นโพสต์ของสตรีท่านหนึ่ง เสียดายมิได้ออกนาม แต่…แน่นอนเป็นเสียงจากคนที่เคยเข้าไปคลุกคลีแรงงานเมียนมาในสมุทรสาคร
…..ขออนุญาตแชร์ข้อมูลที่ตัวเองได้มาจากแรงงานข้ามชาติที่สนิทสนมที่ปัจจุบันทำงานอยู่มหาชัยและจากการประเมิน/คาดการณ์จากประสบการณ์ความรู้ที่เคยลงพื้นที่ที่นั่นในช่วงทำวิทยานิพนธ์นะคะ
ข้อแรกคือ แรงงานข้ามชาติที่ทำงานในตลาดกุ้งส่วนใหญ่เป็นแรงงานที่ถือพาสปอร์ต ไม่ใช่การนำเข้าตาม MOU ทำให้สามารถเดินทางเคลื่อนย้ายได้อย่างอิสระ โดยแรงงานที่นี่ยังมีเครือข่ายไปมาหาสู่กันอยู่เสมอกับแรงงานข้ามชาติที่อื่นๆ (ทั้งที่ถือพาสปอร์ตและเข้ามาโดยระบบ MOU)
เช่น เพชรเกษม นครปฐม (นี้ยังไม่นับรวมแรงงานข้ามชาติใน กทม.และที่จังหวัดอื่นๆ รอบปริมณฑลและใกล้เคียงที่บางส่วนถือพาสปอร์ตและ MOU เช่นกัน เช่น นนทบุรี ปทุมธานี ราชบุรี ก็มีการไปมาหาสู่กัน และเมื่อรวมกันแล้วพื้นที่เหล่านี้เป็นพื้นที่ที่มีแรงงานอยู่มากที่สุดและส่วนหนึ่งทำงานตามบ้าน)
ซึ่งหมายความว่าโอกาสของผู้ติดเชื้อไม่ได้อยู่แค่ในสมุทรสาคร การ Lock Down ที่สมุทรสาครจึงอาจไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้
ข้อสอง นอกเหนือจากแรงงานข้ามชาติแล้ว ยังมีบุคคลอื่นๆในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อแต่ยังไม่ได้เข้าสู่การตรวจ เช่น ลูกหลานแรงงานที่อยู่ในศูนย์การเรียนขององค์กรพัฒนาเอกชนและที่เรียนร่วมอยู่ในโรงเรียนไทยซึ่งกระจายอยู่หลายแห่งของสมุทรสาคร
พ่อค้าแม่ขายคนไทยที่อยู่ในพื้นที่ รวมถึงบุคลากรขององค์กรพัฒนาเอกชน เช่น เจ้าหน้าที่ นักศึกษาฝึกงานที่มาจากจังหวัดต่างๆ ที่ทำงานสัมผัสใกล้ชิดกับแรงงานทั้งในสมุทรสาครและจังหวัดอื่นๆ ส่วนหนึ่งของบุคคลเหล่านี้ก็อาจมีการเดินทางไปยังพื้นที่ต่างๆเช่นกัน การตรวจหาเชื้อจึงควรตีวงกว้างมากขึ้น
ข้อสาม การเดินทางในช่วงหยุดยาวปีใหม่อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดการแพร่ระบาดเพิ่มขึ้นในวงกว้าง เพราะผู้ที่รับเชื้อไปแล้วแต่ไม่แสดงอาการอาจเดินทางไปในพื้นที่จังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ รวมถึงความแออัดระหว่างเดินทาง เป็นปัจจัยที่น่าห่วงใยเป็นอันมาก
ข้อสี่ การแพร่ระบาดเป็นจำนวนมากในเวลาอันรวดเร็วอาจทำให้ความสามารถในการรักษาผู้ป่วยของหน่วยงานสาธารณสุขอาจไม่เพียงพอ โดยกรณีที่การแพร่เชื้อกระจายสู่วงกว้างไปยังแรงงานที่อยู่ในโรงงานซึ่งแต่ละแห่งมีนับพันคนและอยู่อาศัยกันอย่างแออัด
ไม่ได้รับการดูแลสุขอนามัยที่ดีนัก รวมถึงการแพร่ระบาดไปยังพื้นที่อื่นและในหมู่คนไทย ปัญหาเตียงล้นมีโอกาสเกิดขึ้นสูง เราจะดูแลประชากรไทยรวมถึงแรงงานเหล่านี้อย่างไรบนหลักมนุษยธรรมโดยไม่ทอดทิ้ง (ไม่ลืมว่าแรงงานนั้นสร้างโลก) เราอาจต้องมีการวางระบบอย่างดีในการดูแลรักษาให้ทันการณ์
ข้อห้า สมุทรสาครเป็นพื้นที่ใจกลางของอุตสาหกรรมสำคัญหลายอย่างทั้งอาหารทะเล อาหารแช่แข็ง อาหารแปรูปและอาหารสัตว์ (หมาแมว) ที่ส่งขายในประเทศไทยและส่งออกไปประเทศอื่น หากธุรกิจที่นี่ได้รับผลกระทบจากการต้องหยุดการผลิต ทำให้ไม่มีสินค้า หรือถูกระงับการสั่งซื้อจากต่างประเทศ ผู้ประกอบการจะไม่สามารถแบกรับความสูญเสียทางเศรษฐกิจได้และจะส่งผลกระทบต่อแรงงานจากกิจการที่ปิดตัวลงชั่วคราวหรือถาวร (ยังไม่นับรวมปัญหาสินค้าอุปโภคบริโภคที่อาจจะขาดตลาด เช่น อาหารทะเล อาหารสัตว์ อาหารกระป๋องที่ผลิตจากสมุทรสาคร)
รวมถึงแรงงานจำนวนมากที่ตกงานจะอยู่อย่างไรและจะจัดการอย่างไรเป็นเรื่องที่รัฐบาลอาจต้องเตรียมการรับมือจัดการอย่างรอบคอบ
นี้เป็นเพียงบางส่วนของข้อมูลและความเห็นที่อยากนำมาแชร์เพื่อให้ทุกคนตระหนักในการช่วยกันป้องกันและเปลี่ยนความคิดที่ว่าเราอยู่ห่างไกลจากการแพร่ระบาด รวมถึงช่วงเวลาต่อไปเราอาจต้องการการระดมความช่วยเหลือและน้ำจิตน้ำใจต่อกันโดยไม่จำกัดว่าจะอยู่ในเชื้อชาติไหน
ทั้งนี้ทั้งนั้น หากเหตุการณ์ไม่ได้เป็นไปถึงขั้นที่คาดการณ์ก็จะดีที่สุดๆๆๆ ขอให้การคาดการณ์นี้เป็นเรื่องที่ไม่เกิดขึ้นจริงนะคะ….
เห็นหรือยัง?…ไม่ใช่เล่นๆ
เลวร้ายสุด เราจะตามเมียนมาไปติดๆ
ติดเชื้อวันละหลักหลายร้อย
แต่ถ้าเอาอยู่ใน ๑๔ วัน ถือว่าโคตรโชคดี
มีการตั้งสมมติฐาน เอาไว้เยอะ เช่นว่า มีแรงงานผิดกฎหมายจำนวนมาก คนพวกนี้ไม่ออกไปไหน เพราะกลัวถูกจับ จึงอยู่แต่ในที่พักและตลาด ฉะนั้นสามารถควบคุมการระบาดได้ง่าย
ที่ลบสุดๆ ก็มี อาทิ มหาชัยเป็นตลาดซีฟู้ดป้อนไปตลาดสดอื่นๆ ทั่วประเทศ ตัวเชื้อโควิดน่าจะกระจายไปทั่วแล้ว
แต่ที่มันบัดซบสุดๆ คือพวกมือไม่พายเอาตีนราน้ำ
พร้อมที่จะหาประโยชน์จากหายนะของประเทศทุกครั้งที่มีโอกาส
เพื่อไทยนับได้หลายหัว ก้าวไกล สร้างไทย ก็มีหลายศพออกมาเพ่นพ่านด่าว่ารัฐบาลไร้ประสิทธิภาพ มีพรก.ฉุกเฉินก็เอาไม่อยู่
พวกนี้เฮงซวยนะ ก่อนนี้จะให้เลิก พรก.ฉุกเฉินท่าเดียว อ้างว่ากฎหมายธรรมดาก็เอาอยู่
คือคนมันจะหาเรื่อง มันก็แดกได้ทุกเรื่อง
โตโต้ ปิยรัฐ จงเทพ หัวหน้ากลุ่มการ์ด wevo หมอนี่อีกคน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ว่า
“….สวัสดีประชาชน เมื่อวานไม่ได้ทักทายกันเหมือนเช่นปกติทุกๆ วันก็ต้องขออภัยพี่น้องประชาชนกันด้วยนะครับ เนื่องจากว่าเมื่อวานผมอยู่ระหว่างการเดินทางกลับ ตจว.มาใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้ง อบจ. อย่างที่หลายคนทราบกัน
พอกลับออกจาก กทม. ได้ไม่นานก็ทราบข่าวหายนะ โควิด๑๙ ระลอกใหม่ที่อาจจะรุนแรงกว่าครั้งแรก เพราะการกลับมาครั้งนี้เกิดขึ้นที่ตลาดค้าของสดแห่งเมืองสมุทรสาคร มิหนำซ้ำต้นตอของเชื้อครั้งนี้เกิดกับคนหมู่มากที่อยู่ในสังคมที่ขาดการเหลียวแลจาก สวัสดิการของรัฐ เช่นกลุ่ม แรงงานต่างด้าว กรรมาชีพค้าแรงที่ตลาด เป็นต้น
ซึ่งแน่นอนว่าการแพร่ระบาดในช่วงนี้จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วอันเนื่องมาจากทั้งสภาพอาการที่เริ่มหนาวเย็นก็เป็นสาเหตุที่เอื้อต่อการเกิดไข้หวัดได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
แต่สาเหตุหลักรอบนี้คือการ ละหลวมของทางการไทยที่ปล่อยให้กลุ่มแรงงานฯ ผ่านด่านเดินเท้าเข้าประเทศได้โดยไม่มีระบบคัดกรองที่เข้มงวด ซึ่งต่างกับคนไทย หรือ ชาวต่างชาติที่นั่งเครื่องเข้ามาทางท่าอากาศยาน (ต้องกักตัว14วัน) สิ่งนี้เราเรียกว่าความมักง่าย ไร้มาตรฐาน และไม่มีความรับผิดชอบ
หากการระบาดอีกครั้งเป็นการระบาดที่ยากจะควบคุมเราคงได้เห็นเคอร์ฟิวกันทั้งประเทศอีกครั้งแน่ นอน และรอบนี้ไม่รู้ว่าระหว่างประชาชนตายเพราะโควิดกับอดตาย หรือ ฆ่าตัวตาย อย่างไหนจะมากกว่ากัน
ดังนั้น ความรับผิดครั้งนี้จะโทษใครไม่ได้เลยนอกเสียจากรัฐบาลที่นำโดย นายประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เก่งแต่เรื่องปราบม็อบ หรือรบกับประชาชน แต่เลือกปล่อยให้ชายแดนเกิดช่องโหว่เพียงเพราะห่วงแหนอำนาจ ยอมสั่งให้นำกำลัง ตชด. จำนวนมากที่ต้องอยู่ระวังตามแนวชายแดนเข้ามาอยู่กลางกรุงเป็นแรมเดือนเพื่อมารักษาทำเนียบ และวังของกษัตริย์ จนทำให้ชายแดนขาดประสิทธิภาพและกำลังพล
เรื่องนี้จะให้อภัยไม่ได้ ต้องมีคนรับผิดชอบ โดยเฉพาะ ประยุทธ์ จันทร์โอชา คนแรกเลย…”
บัดซบที่สุด!
คิดกลับด้านบ้างหรือเปล่า?
ถ้าไม่มีม็อบสร้างความวุ่นวาย รัฐบาลจะระดมตำรวจตชด.เข้ากรุงหาหอกอะไร
มันเป็นสันดาน คิดจะล้มสถาบัน อย่างไรเสียมันก็โยงทุกเรื่องไปหาสถาบันพระมหากษัตริย์หมด
จะโทษว่า เพราะตชด.มาเฝ้าวัง แล้วทำให้แรงงานเมียนมาผิดกฎหมายเข้ามาแพร่โควิดอย่างนั้นซินะ
ตรรกะแบบนี้คนป่วยชัดๆ
พวกปากหมา ๓ นิ้วไม่เคยโทษตัวเอง
ถ้าไม่มีม็อบ ตชด.ก็ไม่เข้ามา แรงงานผิดกฎหมายลักลอบมาไม่ได้
พูดเอาแต่ได้ อ้างว่าแรงงานเมียนมา ขาดการเหลียวแลจาก ไม่มีสวัสดิการของรัฐ
แถมยังมีหน้าบอกอีกเป็นแรงงานลักลอบเข้ามา
ถามจริง ประเทศโคตรพ่อโคตรแม่ที่ไหน ให้แรงงานผิดกฎหมายได้รับสวัสดิการของรัฐ
ไอ้เรื่องเจ้าหน้าที่คอร์รัปชั่น พาคนเข้าประเทศแบบผิดกฎหมาย มันมีมานานแล้ว
ไม่ต่างจากกรณี ตำรวจชั่ว พา “ยิ่งลัษณ์” หนีผ่านเส้นทางธรรมชาติ เพราะเครือข่ายพวกนี้รู้ดี ช่องโหว่อยู่ตรงไหน
แต่ขอเถอะ ฝ่ายแค้น-๓ นิ้ว….
ตีนหน้าไม่พายอย่าเอาตีนหลังราโควิด.