ผักกาดหอม
ไม่ใช่เรื่องเด็กๆ นะ
ใส่หรือไม่ใส่ชุดนักเรียนเนี่ย….มันเรื่องของผู้ใหญ่เฮงซวยปั่นหัวเด็กต่างหาก
มีคนบอกว่าอย่าไปห้ามเลย เพราะยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ
มันก็ถูก!
เด็กวัยรุ่นไม่ว่ายุคไหนสมัยไหนมันก็หัวขบถแบบนี้ทั้งนั้น
แต่พอโตแล้วเปลี่ยนเพราะความรับผิดชอบเยอะ ในสมองมีรอยหยักและ ข้อมูลใช้ในการตัดสินใจเรื่องราวมากกว่า
เรื่องไว้ผมยาว แต่งไปรเวท เรียกร้องกันมานานโขแล้ว
“อดีตวัยรุ่น” มองย้อนกลับไป แล้วก็คิดคล้ายๆ กัน
ดีแล้วที่ไม่สำเร็จ…ไม่งั้นยุ่งตายโหง
ไหนจะค่าเสื้อผ้า รองเท้าลูก เด็กสมัยนี้อยากได้แบรนด์เนมกันทั้งนั้น
ใส่ของตลาดล่างอายเขา…ไม่กล้าไปโรงเรียน
มีลูกสาวก็หนักหน่อย เพราะมีค่าแต่งตัวเพิ่มขึ้นมา ว่ากันไปตามฤดูกาล
ใช้ร่วมกับแม่ก็ไม่ได้ มันคนละคลาส คนละรสนิยมกัน
ชุดนักเรียนนั่นหละดีแล้ว จะได้เหมือนๆ กันหมด
แต่…ยุคนี้มันไม่อย่างนั้นสิ
เพราะเขาพ่วงสิทธิเสรีภาพทางร่างกาย มากับชุดนักเรียนด้วย
ว่ากันไปถึง “อำนาจนิยม” ในโรงเรียน
เอาจริงๆ นะ…แค่ใส่ชุดนักเรียนแล้วอ้างว่าถูกริดรอนสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน เรียนจบออกไปต้องใส่ยูนิฟอร์มไม่กระอักเลือดเพราะขาดสิทธิภาพตายกันหมดหรือ
อดเป็นหมอ พยาบาล
เป็นทหาร ตำรวจ ไม่ได้เพราะเขาบังคับใส่เครื่องแบบ
เป็นพระสงฆ์ ไม่ต้องโกนหัว ไม่ต้องห่มจีวร…มันใช่หรือ?
เป็นพนักงานบริษัทไทยซัมมิทยังไม่ได้เลย เขามีเครื่องแบบบริษัท
ฯลฯ
ชุดนักเรียนของไทยเริ่มมีขึ้นครั้งแรกในสมัยวางรากฐานการศึกษาไทย ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ราว พ.ศ. ๒๔๒๘ ลอกแบบมาจากตะวันตก
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๖ กำหนดให้นักเรียนในหัวเมืองใช้เสื้อราชปะแตนสีเทา ปัจจุบันยังคงมีข้าราชการสำนักพระราชวังและสำนักราชเลขาธิการที่ยังคงรักษาธรรมเนียมนี้อยู่
ที่น้องๆ หนูๆ ๓ นิ้ว ต้องจำให้ขึ้นใจ…
หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕ โดยคณะราษฎรชุดต้นตำรับ มีการจัดตั้งยุวชนทหาร กำหนดให้นักเรียนตั้งแต่ชั้นมัธยมปีที่ ๔ เทียบกับปัจจุบันคือ ชั้น ม.๒ ขึ้นไป ต้องเป็นยุวชนทหาร
นักเรียนตั้งแต่ชั้นม.๔ ขึ้นไป จึงแต่งเครื่องแบบยุวชนทหารแทน
ครับ…ลองกวาดสายตาไปรอบๆ ยุคนักเรียนเลวแสดงพลัง มีม็อบ ๓ นิ้วเป็นเครือข่าย ยึดโยงกับการเมือง มี “ธนาธร-ปิยบุตร” เคลื่อนไหวให้ท้าย พวกจาบจ้วงสามหาวหนีคดีคอยเปิดประเด็นป้อนอีเว้นท์
ทั้งหมดนี้มีแนวความคิดเดียวกัน ในเพดานเดียวกัน
เสียงเด็กอยากไว้ผมยาว เลิกแต่งชุดนักเรียน ในยุคนี้จึงได้ยินดังและนานกว่าปกติ แต่เป้าหมายมิได้อยู่ที่ไว้ผมแต่งไปรเวท
นี่คือการสร้างฐานของเครือข่าย และขยายให้กว้างขวางขึ้น เพื่อเป้าหมายหลักล้มล้าง อำนาจนิยม
ทีนี้มาทำความรู้จักกับ “อำนาจนิยม” ในความหมายของเครือข่ายสร้างประเทศไทยโฉมใหม่ที่ไม่ได้ดีไปกว่าเดิม
“ชื่นชมในความกล้าหาญของนักเรียนที่ใส่ชุดปกติไปโรงเรียนทุกคนในวันนี้ วัฒนธรรมแห่งการกดขี่กำลังถูกทำลายในทุกที่ ช่วยกันห้ามไม่ให้มีใครถูกดำเนินคดี/ถูกไล่ออก หรือถูกลงโทษ เพียงเพราะยืนหยัดต่อสู้ระบอบอำนาจนิยม”
คุ้นๆ นะ… “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” นำคำว่า “ระบอบอำนาจนิยม” มาใช้กับการเมือง ศาล รวมไปถึงโรงเรียน
แม้กระทั่งสถาบันพระมหากษัตริย์ คณะสามสัสก็จัดอยู่ใน “ระบอบอำนาจนิยม”
เมื่อพูดถึง “ระบอบอำนาจนิยม” จึงหนีไม่พ้นเรื่องล้มล้างสถาบัน เปลี่ยนแปลงประเทศ เพราะมันถูกผูกโยงกันไปหมด ทุกการเคลื่อนไหวมีเป้าหมายสูงสุดเดียวกัน
สองสามวันก่อน มีความพยายามทำลายความน่าเชื่อถือของสถาบันพระมหากษัตริย์ โดย “เพนกวินเส้นศูนย์สูตร” ปล่อยเฟกนิวส์ ว่า ร.๗ ทรงมีพระราชประสงค์ในการเอาพระแก้วมรกตไปขาย
ประเด็นนี้มีคนช่วยไขความจริงกันเยอะ
ต้นเรื่องมาจากข่าว ของหนังสือพิมพ์ New York Times ตีพิมพ์ฉบับวันที่ ๒๒ มกราคม พ.ศ.๒๔๗๘
เป็นข้อความเชิงซุบซิบนินทา
เนื้อหาอ้างถึงความคับข้องใจของรัชกาลที่ ๗ ต่อสถานการณ์การเมืองในประเทศไทยในเวลานั้น ซึ่งหากไม่คลี่คลาย ท่านอาจจะขายทรัพย์สินของท่าน สละราชสมบัติและไม่กลับประเทศไทยอีก
ระบุรายงานว่ากลุ่มผลประโยชน์ของอังกฤษจะเต็มใจที่จะซื้อทรัพย์สินของพระองค์
ซึ่งไม่ได้มีเพียงวัง เทวสถานที่มีความงดงามตามแบบตะวันออก และที่ดินที่อุดมสมบูรณ์
แต่ยังมีพระแก้วมรกตด้วย
New York Times ตีพิมพ์ว่า อัญมณีอันเลื่องชื่อชิ้นนี้ถือเป็นความภาคภูมิใจและภาพแห่งความรุ่งเรืองของประเทศสยาม มันเป็นหินที่งดงามชิ้นใหญ่โตที่ถูกฝังไว้ที่ส่วนหน้าผากของพระพุทธรูป และเป็นทรัพย์สินของกษัตริย์
เนื้อหาสรุปคือ คนขายไม่ได้พูด แต่คนอยากซื้อร่ายเป็นฉากๆ
ประเด็นสำคัญข่าวชิ้นนี้ตีพิมพ์ปี พ.ศ.๒๔๗๘ หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๓ ปี และหลัง ร.๗ สละราชสมบัติ ๑ ปี ความน่าเชื่อถือจึงต่ำมาก
ต่ำอย่างไร?
หนังสือเบื้องแรกประชาธิปไตย ตีพิมพ์ พระราชบันทึกทรงเล่า สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ทรงเล่าเรื่องว่า
………เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงสุโขทัยธรรมราชนั้น มีเงินที่เป็นส่วนพระองค์ที่ได้รับพระราชทานเป็นประจำอยู่ ซึ่งเป็นเงินทุนส่วนของสังศุโขทัย แต่เมื่อเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เงินส่วนที่ว่านี้ยังคงมีอยู่ แต่ไม่ค่อยได้เอามาใช้ คงสะสมเอาไว้ คงใช้เงินส่วนที่เป็นของพระมหากษัตริย์เท่านั้น
ก่อนที่จะเสด็จไปอังกฤษ ในหลวงจึงทำหนังสือมอบให้ว่า ให้เอาเงินที่สะสมไว้นั้นมาทดแทนกับจำนวนที่ทรงเบิกเงินหลวงแผ่นดินที่มีอยู่ในเมืองนอกเป็นการชดเชยกัน
เงินที่อยู่เมืองนอกนั้นเป็นเงินกองกลางสำหรับพระเจ้าแผ่นดินทุกองค์จะเบิกมาใช้ได้ ที่ในหลวงต้องทรงทำเช่นนั้นก็เพราะไม่ทราบว่าจะต้องประทับอยู่นานเท่าใด เงินที่จะเอาติดตัวไปก็น้อย และเมื่อไปแล้วจะให้ส่งไปก็ส่งไม่ได้
เงินเมืองนอกที่ว่านี้มีมาแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพราะฉะนั้นเงินส่วนของวังศุโขทัยที่ว่านี้ก็เป็นเงินที่ใช้ทดแทนกันนั่งเอง แต่แล้วก็กลายเป็นเรื่องถึงฟ้องร้องกันในเวลาต่อมา ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้นแล้วเอกสารของในหลวงที่ทรงไว้เกี่ยวกับการทดแทนกันก็หากันไม่พบ ไม่มีใครรู้ว่ามันหายไปไหน
จากกรณีดังกล่าวนี้ ที่ทำให้มีปัญหาถึงการฟ้องร้องกัน
“เรื่องมันมีอยู่ว่าพ่อฉันเป็นหนี้ทางบริษัทศรีมหาราชาอยู่สองแสนบาท”
ทีนี้ตอนนั้นพระราชวังไกลกังวลในหลวงพระราชทานให้ฉัน ข้าวของทุกชิ้นที่นั่นทรงจารึกอักษรย่อว่า ร.พ. ทั้งนั้น ทางฝ่ายเขาก็จะขอให้เอาพระราชวังไกลกังวลมาใช้หนี้ ในหลวงท่านก็รับสั่งว่า พระราชวังนั้นราคามากกว่าสองแสน แต่ถ้าจะเอาก็ขอให้ตีราคามา และเมื่อหักหนี้กันแล้ว ส่วนที่เหลือก็ขอให้ส่งไปให้ แต่เขาก็ไม่ตอบให้รู้ว่าจะเอายังไง
ทีนี้เขาก็ฟ้องอีกว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงเอาเงินของแผ่นดินที่เมืองนอกไปใช้ ซึ่งความจริงก็เป็นอย่างที่เล่าให้ฟังแล้วว่า เป็นเงินส่วนของพระเจ้าแผ่นดิน และในหลวงก็ทรงทำหนังสือทดแทนกันอย่างที่ว่าแล้ว หนังสือนี้มันเกิดหายไป ระหว่างนี้ก็ได้รับทราบว่า ได้มีการส่งคนไปยึดวังไกลกังวลกันเฉยๆ
ในหลวงท่านรับสั่งว่าจะเข้ามาขอสู้คดี ทางนี้เขาก็ไม่ยอม ขอมาอยู่แค่อินเดียเพื่อจะได้ติดต่อได้ง่ายก็ไม่ยอมอีก ก็เลยติดต่อกันทางหนังสือ ทนายความฝ่ายเราน่ะเป็นบริษัทฝรั่ง ไม่มีคนไทยเขายอมรับเป็นทนายให้เพราะเขาไม่กล้ากัน แต่ผลที่สุดเราก็แพ้เขา
คดีแค่ศาลเดียวเท่านั้น เขาตีราคาวัง ๓ ล้าน รวมกับที่ดินแล้วก็เป็น ๖ ล้านด้วยกัน
หลังจากที่คดีสิ้นสุดลงแล้ว ได้ไปเที่ยวอียิปต์ “ทางรัฐบาลเขาก็ว่าเราไปซ่องสุมผู้คนที่นั่นเพื่อชิงอำนาจคืน”
แต่ฉันก็ว่า ถ้าจะชิงล่ะก็จะไปจากเมืองไทยทำไม ทำเสียแต่แรกแล้ว
อยากจะไปโลซานน์เฝ้าพระเจ้าอยู่หัวอานันท์ฯ ก็ไม่กล้า เวลานั้นมีคนเขาว่า เราน่ะเป็นตัวเชื้อโรคเสียซ้ำไป
เมื่อทรงสละราชสมบัติทรัพย์สินส่วนพระองค์เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศเป็นกรมหลวงสุโขทัยธรรมราชา ก็พลอยถูกเขายึดไปหมด ทั้งๆ ที่พระองค์ท่านก็ได้ระบุไว้ชัดว่า สงวนไว้ซึ่งสิทธิทั้งปวงก่อนที่จะได้รับราชสมบัติสืบสันตติวงศ์
ไม่ต้องอะไรหรอก แม้แต่เครื่องยศ หีบทองอันหนึ่งที่พระมงกุฎฯ พระราชทานให้ฉันวันแต่งงาน ก็เก็บเอาไป จนเดี๋ยวนี้ยังไม่ได้คืน ข้าวของที่เป็นส่วนของฉันเองแท้ๆ ………….
แม้ในหลวงรัชกาลที่ ๗ ทรงสละราชสมบัติในปี ๒๔๗๗ แต่ก็เป็นที่รับรู้กับว่า หลังวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๔๗๕ ราชสมบัติถูกยึดโดยคณะราษฎรไปแล้ว
แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรที่ในหลวงรัชกาลที่ ๗ จะมีพระราชประสงค์เอาพระแก้วมรกตไปขาย
แค่กลับประเทศมาสู้คดี คณะราษฎรยังไม่ยอมให้เข้า
คณะเรี่ยราด ๖๓ คิดผิดเอาพระแก้วมรกต มาสร้างเงื่อนไขล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์
หารู้ไม่ว่า พระราชวงศ์จักรีเท่านั้น ที่คู่ควรกับพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรพระองค์นี้
ส่วน “เพนกวิน” ไม่ใช่สัตว์เขตร้อน
ระวังไม่มีแผ่นดินอยู่!