“ทอน” ไม่รู้!แล้วจะรอดหรือ

ผักกาดหอม

ท่าจะรอดยาก
เรื่องตัวเองยังไม่รู้ แล้วจะให้คนอื่นเข้าใจได้อย่างไรกัน

ครับ…วานนี้ (๑๘ ตุลาคม) ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญท่านออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนพยาน
คดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้วินิจฉัยความเป็น ส.ส.ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๐๑ (๖) ประกอบมาตรา ๙๘ (๓)
เนื่องจากถือหุ้นสื่อบริษัท วี-ลัค มีเดีย
เข้าลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.หรือไม่?

มีใครสังเกตเห็นมั่ง
“ธนาธร” เลิ่กลั่ก ไม่นิ่ง เอาเสียเลย
ถอดความชอบ ไม่ชอบออกไป แล้วมองสิ่งที่ปรากฏ
“ปิยบุตร” นิ่งกว่า ฉลาดกว่า “ธนาธร” เยอะ

เทียบตัวต่อตัว ห่างกันหลายขุม
ต้องเข้าใจว่า ปฐมเหตุของคดีนี้เกิดจากการกระทำของ “ธนาธร” ล้วนๆ
ไม่มีใครแกล้ง
ไม่ใช่คดีการเมือง
เป็นแค่คดี ไม่มีคุณสมบัติเป็นผู้สมัคร ส.ส.

ในศาล “ธนาธร” มีอาการ “ฮ่องเต้ซินโดรม” ให้เห็นเป็นระยะๆ
หลายคำถามจากตุลาการและ กกต. “ธนาธร” ตอบด้วยความหงุดหงิด
————

“จะต้องให้ตอบอีกกี่ครั้งว่าจำไม่ได้”

“หากศาลต้องการหลักฐานก็สามารถไปตรวจสอบเพื่อนำมายืนยันได้ เหตุที่จำไม่ได้เพราะศาลอาจไม่ได้เดินทางบ่อยเท่าผม”

“๔๑ ปี ในชีวิตผม นี่เป็นครั้งแรกที่เข้ามานั่งหน้าบัลลังก์ ที่ผ่านมาผมไม่เคยมีคดีเลย”

“ประเด็นที่ถูกซักถามว่าเหตุใดโอนขายหุ้นในเดือนมกราคมแล้วเหตุใดจึงนำเช็คไปขึ้นเงินในเดือนพฤษภาคมนั้น ผมไม่เคยถามและไม่เคยรู้ อาจเป็นเพราะครอบครัวของผมไม่เดือดร้อนเรื่องเงิน บางทีเช็คก็ติดเสื้อส่งไปซักแห้งก็ส่งกลับมา เรื่องการนำเช็คไปขึ้นเงินช้า เป็นเรื่องที่ภรรยาจะไปจัดการ”

“กกต.มีเอกสารมาถึงผมและนางสมพร เรียกไปให้ถ้อยคำตอนเช้า แต่หนังสือเรียกส่งมาถึงบ้านในช่วงบ่าย ผมไม่มีไทม์แมชชีน ถ้ากระบวนการสอบสวนไม่ถูกต้องตั้งแต่ต้น ศาลก็ไม่ควรพิจารณาคดีนี้
อยากให้ศาลพิจารณาว่า ขณะที่ กกต.ยื่นคำร้องต่อศาล อนุกรรมการไต่สวนของ กกต.ยังสอบสวนไม่เสร็จ สิทธิของผมในเรื่องนี้ควรได้รับการพิทักษ์ และผมขอสงวนสิทธิ์ถ้า คสช.หมดอำนาจ ผมจะดำเนินคดี กกต.”
————-
ใครบอกว่า “ลุงตู่” ขี้หงุดหงิด เห็นอย่างนี้แล้ว “ธนาธร” อาจจะขี้หงุดหงิดยิ่งกว่า

และมีเค้าเป็นคนเอาแต่ใจตัวเองสูง
คงไม่บ่อยครั้งที่ “ผู้ถูกร้อง” ต่อปากต่อคำกับตุลาการ

เช่นบอกว่า เหตุที่จำไม่ได้เพราะศาลอาจไม่ได้เดินทางบ่อยเท่าผม
ตุลาการท่านถึงต้องพูดกลับไปอย่างนิ่มๆ ว่า “จำได้เพราะลงบันทึกไว้”

หรือแม้กระทั่งการขู่ฟ้องกลับ กกต. ทั้งๆ ที่ตัวเอง ถูกไต่สวนอยู่ในศาล
ขอสงวนสิทธิ์ถ้า คสช.หมดอำนาจ
ก็….คสช.หมดสภาพตามกฎหมายไปแล้วไม่ใช่หรือ?

สรุปแล้วการไต่สวนพยานนัดนี้ “ร่อแร่”

ไม่รู้ว่าเคยเกิดขึ้นมาก่อนหรือเปล่า ที่ผู้ถูกร้อง ไม่เคลียร์เรื่องตัวเองให้กระจ่าง
ย้ำแค่ว่า
“ผมจำไม่ได้”
“ผมไม่แน่ใจ”
“ผมไม่เคยรู้”
“จะต้องให้ตอบอีกกี่ครั้งว่าจำไม่ได้”

พูดวนซ้ำๆ กันหลายครั้ง
ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องของตัวเอง
ใช้ปกป้องตัวเองในศาล
แต่กลับไม่รู้ในข้อที่ศาลสงสัย
แล้วใครจะรู้?

เอาจริงนะ…. ผมไม่สงสัยเรื่องโอนหุ้นวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๖๒ เลย
ไม่สงสัยกระทั่งว่าทำไม “ธนาธร” ไม่นั่งเครื่องบิน กลับนั่งรถยนต์แทน
เพราะเจ้าตัวบอกว่า….”ผมเป็นคนที่หลับง่ายในรถยนต์ เมื่อขึ้นรถแล้วหลับเลย หากต้องขึ้นเครื่องบินจะต้องพบเจอและทักทายผู้คน อาจทำให้ไม่ได้พักผ่อน และไม่เป็นส่วนตัว ผมจึงยอมนั่งรถดีกว่า”

จริงๆ….ไม่สงสัยกับคนที่ยอมนั่งรถด้วยความเร็ว ๑๔๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง จากบุรีรัมย์ถึงกรุงเทพฯ
ทั้งที่โอกาสตายเพราะอุบัติเหตุมีสูง
และไม่อยากจะสงสัยกับคนที่ยอมใช้ความผิดฐานขับรถเร็วเพื่อเอาตัวรอดจากความผิดตามกฎหมายเลือกตั้ง

แต่ที่สงสัยมากๆ คือตลอดเวลาหลังก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ “ธนาธร” และพวกเรียกร้องให้เร่งเลือกตั้งมาตลอด
พวกอยากเลือกตั้งชุมนุมไปทั่วกรุงเทพฯ ให้เลือกตั้งเร็วๆ แล้ว “ธนาธร” ไม่คิดเตรียมตัวให้พร้อมเลยหรือ
วันนั้นเกิด คสช.บ้าจี้ เลือกตั้งตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว มันก็จบเห่ โอนหุ้นไม่ทันแน่

ฉะนั้นข้ออ้างที่ “ธนาธร” ให้การในศาลว่า
“เมื่อตัดสินใจเข้าทำงานทางการเมืองในช่วงปลายปี ๖๐ ผมได้ลาออกจากทุกตำแหน่ง ต้นปี ๖๑ ในเดือนมกราคม ๖๒ ยังไม่มีใครรู้ว่าการเลือกตั้งจะมีขึ้นวันไหน โดย พ.ร.ฎ.เลือกตั้ง ประกาศในช่วงปลายเดือนมกราคม ดังนั้นเวลาที่เหมาะสมวันไหนเราก็นัดวันนั้น เนื่องจากครอบครัวของผมมีกิจการหลายบริษัท ในช่วงครึ่งหลังของปี ๖๑ ต่อเนื่องถึงต้นปี ๖๒ ได้ทยอยก็ทำมาเรื่อยๆ วันที่ ๘ มกราคม ๖๒ จึงไม่ใช่วันสำคัญอะไร”
มันฟังไม่ขึ้นจริงๆ

ยิ่งอยู่ในสถานการณ์ไม่รู้ว่า พ.ร.ฎ.เลือกตั้ง ประกาศเมื่อไหร่ ก็ยิ่งต้องรีบเคลียร์ให้จบแต่เนิ่นๆ
แต่วันนี้ “ธนาธร” กลับทำในสิ่งที่คนอื่นไม่ทำมากขึ้นเรื่อยๆ
ตอนท้ายของคำให้การเผยให้เห็นธาตุแท้ว่า ที่จริงแล้ว “ธนาธร” เป็นคนแบบไหนกันแน่

“…….ผมตั้งใจอย่างจริงจังที่จะทำงานการเมืองโดยไม่อยากให้มีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน อย่างที่นายทักษิณ ชินวัตร โดนมาก่อน ต้องการให้บ้านเป็นประชาธิปไตย
หากศาลตัดสินเป็นคุณกับผม ผมจะออกไปทำเรื่องบลายด์ทรัสต์ทันที เพราะต้องการใช้มาตรฐานนักการเมืองตะวันตกในการจัดการผลประโยชน์ทับซ้อน
ผมไม่ต้องการเข้ามาเพื่อมีผลประโยชน์หรือบริวารห้อมล้อมเหมือนนายทักษิณ เพราะผมอยากจะเปลี่ยนแปลงสังคมนี้ ซึ่งถ้ายังอยู่แบบนี้ก็จะเดินต่อไปไม่ได้…..”

แล้ว “ทักษิณ” มาเกี่ยวอะไรด้วย ถึงได้เอามาเผาซะไหม้เกรียม
ไม่รู้จะมีใครสักคนที่มีเพื่อนอย่าง “ธนาธร” แล้วยังคบต่อ

ก็สมควรขนาด “หมวดเจี๊ยบ” ยังด่าไล่หลัง

“คุณธนาธร ควรต้องเอาพยานหลักฐานไปแสดงต่อศาล เรื่องการถือหุ้นสื่อ แต่ก็แปลก เพราะพอเป็นเรื่องของตัวเอง กลับอ้างว่าจำเหตุการณ์ต่างๆ ไม่ได้เลย แม้แต่เรื่องง่ายๆ ที่คนมีสติสัมปชัญญะ โดยเฉพาะคนที่คิดการใหญ่ถึงขั้นเสนอตัวเป็นแคนดิเดตนายกฯ ควรต้องจดจำ เพราะเป็นเรื่องกติกาในการลงสมัครรับเลือกตั้ง”
ใช่แล้ว…..สิ่งที่ “ธนาธร” ควรทำในศาลคือ พูดถึงหลักฐานที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง

แต่…กลับเหยียบทักษิณ ใช้เป็นเหตุผลประกอบการต่อรองกับศาล
อ่านไม่ผิด…..ต่อรอง!

“สมพร จึงรุ่งเรืองกิจ” เคยบอกว่า

“ลูกชายของฉัน ฉันก็หวังว่าเขาจะเป็นเปาบุ้นจิ้นเมืองไทย ไม่มีการโกงกิน หรือเป็นสี จิ้นผิง ในเมืองไทยก็ได้

เขาอุทิศตัวมาช่วยประเทศ ไม่ใช่เข้ามากอบโกย…ฉันเลี้ยงลูกมาก็สอนลูก ให้ลูกซื่อสัตย์ ห้ามขโมยของเพื่อนที่โรงเรียนกลับบ้าน”

คงยาก!
เพราะลูกชายคุณสมพร ถูกเลี้ยงดูมาแบบ “ฮ่องเต้”
อาการ “ฮ่องเต้ซินโดรม” จึงกำเริบในศาล

ภาพที่เห็นวันนี้ “ธนาธร” ต่อรองแม้กระทั่งกับศาล
ใช้อวัยวะส่วนไหนคิด อยู่ต่อหน้าศาล หน้าบัลลังก์ กลับบอกว่า….

“หากศาลตัดสินเป็นคุณกับผม ผมจะออกไปทำเรื่องบลายด์ทรัสต์ทันที เพราะต้องการใช้มาตรฐานนักการเมืองตะวันตกในการจัดการผลประโยชน์ทับซ้อน”

จะให้ศาลตัดสินเป็นคุณแก่ ผู้ถูกร้อง ที่เอาแต่ตอบว่า “ผมไม่รู้-ผมจำไม่ได้” ได้อย่างไร
ประเด็น “บลายด์ทรัสต์” ไม่มีใครร้องขอ

เป็นคำคุยโม้โอ้อวดของ “ธนาธร” เอง
โม้ แต่ไม่ทำ
เรื่องมาแดงว่ายังไม่ทำ เพราะเมื่อเปิดเผยบัญชีทรัพย์สิน ไม่มีการแจ้งว่าทำ “บลายด์ทรัสต์”

การไม่บอกแต่ปล่อยให้รู้ทีหลัง ถ้าเป็นคนรักกัน สิ่งที่ตามมาคือ…
เยื่อใยไม่เหลือ

จึงเชื่อได้ยากว่าหาก “ธนาธร” มีอำนาจแล้วจะไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน

ครับ…..แต่เรื่องนี้ต้องจำได้
วันจันทร์ ๒๑ ตุลาคมที่จะถึงนี้เรามีนัดกัน
“ไทยโพสต์” คลอดฉบับปฐมฤกษ์เมื่อ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๓๙
มาปีนี้ก็ย่าง ๒๔ แล้ว
ตามธรรมเนียม มีอาหารคาวหวานใส่ท้องตามใจชอบ พร้อมของที่ระลึกเล็กๆ น้อยๆ หนีบรักแร้กลับ
ใครเคยมาแล้วก็เดินดิ่งเข้ามาเลย
ส่วนที่ไม่เคยมา เข้าซอยไม่ถูก ให้ตั้งหลักสามแยกเกษมราษฎร์ เจอใครผ่านไปมาแถวนั้นลองถามดู ไทยโพสต์ไปทางไหน

หาไม่ยาก ไม่มีหลง แค่เดินให้สุดซอย
มาเช้าหน่อยก็ดี ให้ทัน ๑๐ โมง ฟัง “พระอนิลมาน” ดร.พระศากยวงศ์วิสุทธิ์ (อนิลมาน ธมฺมสากิโย) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร เทศน์
แล้วจะกลับแบบอิ่มบุญ อิ่มใจ และ อิ่มท้อง.

Written By
More from plew
“เฟกนิวส์” ในสำนักข่าวฝรั่ง
ก็แปลก………. ไม่ว่า ยาจก วณิพก ขอทาน เศรษฐี ผู้ดี คนมีศักดิ์ และไพร่ ทำไมถึงกลายเป็นคนพูดและฟังภาษาคนและภาษาไทยไม่รู้เรื่องไปได้ก็ไม่รู้?
Read More
0 replies on ““ทอน” ไม่รู้!แล้วจะรอดหรือ”