11 พ.ย.63 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ต้องเตรียมพร้อมรับมือกับนโยบายของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของ นายโจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยเชื่อว่านโยบายกีดกันการค้าของสหรัฐฯจะเบาบางลง แต่นโยบายสงครามการค้ากับจีนอาจมีอยู่
เพราะสหรัฐฯต้องการชะลอการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจจีน ไม่ให้พัฒนาแซงหน้าสหรัฐเร็วนัก พร้อมเสนอให้ พล.อ.ประยุทธ์ ศึกษาและเตรียมรับมือกับ 5 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ กรณีความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) ที่สหรัฐฯ อาจหันกลับมาร่วมกับ CPTPP หากไทยเข้าร่วม อาจเสียเปรียบและมีปัญหาด้านเกษตรกรรมและสิทธิบัตร
แต่หากไทยไม่เข้าร่วมอาจตกขบวนการค้าการลงทุนได้ รวมทั้งห่วงโซ่การผลิต (Supply Chain) ของประเทศในหมู่สมาชิกในอนาคตด้วย หากไทยเข้าร่วม CPTPP ต้องคำนึงผลกระทบและการเยียวผู้ได้รับผลกระทบด้วยโดยเฉพาะกับกลุ่มเกษตรกรด้วย
เรื่องที่สอง นายไบเดน ประกาศว่าจะกลับเข้าสู่ข้อตกลงปารีสอีกครั้ง โดยสหรัฐให้ความสนใจ ปัญหาโลกร้อนมากขึ้น ประเทศต่างๆ จะถูกตรวจสอบการใช้พลังงานและการปล่อยก๊าซคาร์บอนขึ้นสู่บรรยากาศ ไทยต้องระวังและเตรียมพร้อมในเรื่องนี้ด้วย ซึ่งอาจจะกระทบกับหุ้นบริษัทเหมืองถ่านหินของอินโดนีเซียที่รัฐบาลอนุมัติให้บริษัทลูก กฟผ. ซื้อมูลค่ากว่า 1.17 หมื่นล้านบาท
เรื่องที่สาม นายไบเดน ประกาศจะขึ้นภาษีสำหรับคนรวย โดยภาษีนิติบุคคลจะปรับขึ้นเป็นร้อยละ 28 จากเดิมอยู่ที่ร้อยละ 21 , ปรับขึ้นภาษีบุคคลธรรมดาในอัตราสูงสุดเป็นร้อยละ 39.6 จากเดิมอยู่ที่ร้อยละ 37 และจะปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 15 เหรียญสหรัฐต่อชั่วโมง จากเดิมอยู่ที่ 7.25 เหรียญสหรัฐต่อชั่วโมง อาจส่งผลให้โรงงานย้ายฐานการผลิต ซึ่งไทยอาจได้รับประโยชน์ หากได้รับการยอมรับจากสหรัฐฯ และประชาคมโลกอีกครั้ง
เรื่องที่สี่ นายไบเดน มีแผนการใช้จ่ายงบประมาณจำนวนมหาศาลถึง 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ อีกทั้ง นโยบายกีดกันการค้าที่จะลดลง อาจทำให้ค่าเงินของสหรัฐฯอ่อนลง และเงินบาทแข็งค่าขึ้น ซึ่งจะกระทบกับการส่งออกของไทยเป็นอย่างมาก รัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทยต้องดูแลค่าเงินบาทให้อ่อนค่าลง
และเรื่องสุดท้ายคือแนวทางของพรรคเดโมแครตที่ส่งเสริมระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง และตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างเข้มงวด เพราะนายไบเดนเป็นวุฒิสมาชิกนาน 36 ปี เป็นรองประธานาธิบดี 8 ปี อีกทั้งยังมีความเกรงใจสื่อกระแสหลักที่ออกข่าวโจมตีรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ มาโดยตลอด
รัฐบาลชุดนี้จึงถูกกดดันมากขึ้น เพราะเป็นรัฐบาลที่มาจากรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง และยังเผชิญกับปัญหารอบด้าน ทั้งผู้ชุมนุมจำนวนมากที่ออกมาขับไล่ , ประชาชนส่วนใหญ่เบื่อหน่ายกับการบริหารที่ล้มเหลว , ปัญหาเศรษฐกิจที่รุมเร้า และสลายการชุมนุมผิดที่หลักสากล
“รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ไม่สามารถแก้ไขปัญหาของประเทศได้เลย คำถามคือประเทศไทยจะต้องแบกรับความล้มเหลวของ พล.อ.ประยุทธ์ ไว้เป็นภาระไปอีกนานเท่าไหร่” นายพิชัย กล่าว