เปลว สีเงิน
วันนี้หลายเรื่อง “ควรสนใจ” ค่อยๆไล่เลียงไปทีละเรื่องนะ
เรื่องแรก “๖๔ สส.ถือหุ้นสื่อ”
เมื่อวาน (๒๘ ตค.๖๓) ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยออกมาแล้ว สรุปว่า “ผ่าน”!
๒๙ ใน ๓๒ สส.รัฐบาล ไม่ได้ประกอบกิจการธุรกิจสื่อ และหนังสือพิมพ์ตามคำร้อง
ส่วนอีก ๓ “พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์, ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล, นายสมเกียรติ ศรลัมพ์ พ้นสมาชิกภาพส.ส.ไปแล้ว
ในซีกสส.ฝ่ายค้าน….
๒๘ สส. “ศาลฯ ยกคำร้อง” เนื่องจากไม่ได้ประกอบกิจการธุรกิจสื่อมวลชนและหนังสือพิมพ์
ยกเว้น……..
“นายธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์” ส.ส.สองเพศพรรคก้าวไกล คนเดียว ศาลฯ วินิจฉัยว่า “ขาดคุณสมบัติ”
เพราะถือหุ้นในบริษัทประกอบกิจการสื่อขัดรัฐธรรมนูญเมื่อครั้งสังกัดพรรคอนาคตใหม่
แม้โอนหุ้นแล้ว ยังพบข้อพิรุธ และไม่ชี้แจงข้อเท็จจริงต่อศาลฯ
อีก ๓ “พล.ท.พงศกร รอดชมภู, นายสุรชัย ศรีสารคาม, นายชำนาญ จันทร์เรือง “จำหน่ายคดี” เนื่องจากพ้นสมาชิกภาพส.ส.ไปแล้ว
เรื่องต่อไป…..
การประชุมรัฐสภาหาทางออกปัญหา “งอแงการเมือง” เมื่อ ๒๖-๒๗ ตุลา.ตกผลึกออกมาว่า
ให้สภาตั้ง “คณะกรรมการสมานฉันท์” หาบทจบ โดยสถาบันพระปกเกล้าฯ เป็นเจ้าภาพ
“เพื่อไทย” ฝ่ายแค้น ยกสามนิ้วปฏิญานทันที “ไม่เอา-เราไม่ร่วม”
เราจะเอา ๑.นายกฯต้องลาออก ๒.ต้องปล่อยซอมบี้ที่ถูกขังโดยไม่มีเงื่อนไข และ ๓.ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญตามที่เสนอให้เสร็จฉับพลัน
ประเด็นสำคัญ… “ไม่ต้องทำประชามติ”!
อ้าว…
“ฝ่ายประชาธิไตย” โขมงโฉงเฉงว่า ประชาราษฏร์เป็นใหญ่ในแผ่นดิน แต่ไหงกลัว “ประชามติ” ของประชาราษฎร์ล่ะ?
ประชาธิปไตย ๓ นิ้ว
กลัวประชาธิปไตย ไอ เลิฟ ยู “อาการออก” ซะแแหล่ว นี่ถ้านายกฯ รำคาญ ที่ยิกๆ ให้ลาออก
“ยุบสภา” ซะเลย คืนอำนาจให้ประชาชนไปเลือกตั้งกันใหม่ ใครดี-ใครได้กลับเข้ามาเป็นรัฐบาล เพื่อไทยไม่ตายหยังเขียดหรือนี่!?
เรื่องที่สาม……
กรณีกกต.มีมติ ดำเนินคดีอาญา “นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” อดีตหน.พรรคอนาคตใหม่ พร้อมกก.บห.รวม ๑๖ คน
ทำผิดมาตรา ๖๖ ประกอบมาตรา ๗๒ พ.ร.ป.พรรคการเมือง กู้ยืม ๑๙๑.๒ ล้านบาท ซึ่งศาลฯ สั่งยุบพรรคและเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งไปแล้ว
ตอนนี้ เข้าสู่ขั้นตอน กกต.แจ้งความตำรวจเพื่อดำเนินคดีด้านอาญา นั้น
เมื่อวาน ธนาธร-ปิยบุตร เปิด “ไทยซัมมิท” แถลงสู้
ก็ขอบใจปะล้ำ-ปะเหลือ สงสัยมาตั้งนาน ว่า….
ไฟที่คุบ้าน-คุเมืองตอนนี้ “ต้นเพลิง” มันมาจากไหน เพิ่งได้เค้ามูลจะจะ จากปากคำปิยบุตรเที่ยวนี้เอง!
ฟังคำให้การ “อองตวนปิ๊” ดูนะ…….
“เราพร้อมสู้คดีอย่างเต็มที่และเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย
ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคอนาคตใหม่ ผมเคยแถลงว่า “ภาพยนตร์ยุบพรรค” รอบนี้ จะไม่จบแบบเดิม หากผู้กำกับภาพยนตร์ยุบพรรคอนาคตใหม่ จะเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม
ถือว่าเป็นการ “คิดผิด”
เพราะจะเป็น “ไฟลามทุ่ง” ๘ เดือนที่ผ่านมา พิสูจน์แล้วว่า “ไฟลามทุ่ง” จริงๆ
ถ้าเราต้องการให้กระบวนการ “นิติสงคราม” หยุดสักที ก็ต้องสู้ ทั้งๆที่รู้กฎหมายไม่เป็นคุณแก่เรา
หากไม่สู้ กฎหมายก็จะบดขยี้กันต่อไป การสู้เท่านั้นถึงจะยุตินิติสงครามได้
หากผู้กำกับ “ภาพยนตร์ยุบพรรค” ยังคิดเหมือนเดิมว่าทุกอย่างจะจบนั้น “ท่านคิดผิด”
และ “ไฟจะลามทุ่งกว่าเดิม”
“ต้นเพลิง” พรึ่บๆ มาจาก “ไฟลามทุ่ง” นี่เอง ท่านปิทำหน้าที่พลเมืองชั้นดี ชี้เบาะแสให้กับทางการแล้วนะ
ว่าเมื่อดำเนินคดีอาญาธนาธร…………
ไฟที่ลามทุ่งอยู่แล้ว จากนี้ มันจะลามหนักขึ้นอีก!
เมื่อวาน เห็นนายกฯ เปรยๆ สภาพไฟลามทุ่ง ทุกคนเป็นแกนนำ แล้วจะให้ไปคุยกะใคร?
แบบนี้ ถามอองตวนปิ๊ ไม่ก็ตี๋ใหญ่ รู้แน่!
เมื่อวานเช่นกัน….
มีเรื่องว่าด้วยการ “สัมผัสศีรษะ” เป็นการสั่งสอนเกิดขึ้นที่อยุธยา มโนสาเร่ทางคดีก็จริง แต่สาเหตุของเรื่องมันใหญ่ถึงขั้นเรียกว่า
เรื่อง “มโนสำนึก” ระดับชาติ!
มันเป็น “เหตุผล ๒ ด้าน” ที่กล่าวขานกันมาก คงได้ยินข่าวกันแล้วกระมัง คือที่คุณแม่ค้าไปทำร้ายร่างกายเพื่อสั่งสอนนักเรียนหญิงที่ไม่ยืนเคารพธงชาตินั่นน่ะ
เหตุการณ์เดียวกัน แต่เกิดมุม “เห็นต่าง-เห็นคล้อย” กันอยู่มาก พินิจ-พิเคราะห์ด้วยเหตุ-ด้วยผลกันดูนะ
ด้านผิด….
แน่นอน การแตะต้องตัวคนอื่นในลักษณะ “ทำร้ายร่างกาย” มันเป็นความผิด
แต่ที่คุณแม่ค้า “ลงไม้-ลงมือ” กับนักเรียน สาเหตุจาก เธอไม่พอใจ เมื่อถึงเวลาเคารพธงชาติ คนอื่นๆ ยืน แต่นักเรียนคนนั้น กลับนั่งเฉย!
นี่จะเรียกว่า “ผิดในถูก” ได้หรือไม่ ฟังเหตุผลฝ่ายคุณแม่ค้าดู แล้วคิดตาม ก่อนมีคำตอบให้ตัวเองและคู่กรณี ผมลอกข่าวที่เขารายงานถึงคำให้การคุณแม่ค้า ดังนี้
“……………เกิดจากเพียงอารมณ์ชั่ววูบ เมื่อเห็นเด็กนักเรียนไม่ยืนเคารพธงชาติ จึงเข้าไปสอบถามว่า “เป็นคนไทยหรือเปล่า ทำไมถึงไม่เคารพธงชาติ”
แต่กลับโดนเด็กนักเรียนคนดังกล่าวย้อนกลับว่า “เป็นสิทธิส่วนบุคคล”
ทำให้โมโหเกิดอารมณ์ชั่ววูบ เข้าไปทำร้ายร่างกายเด็กนักเรียนคนดังกล่าว ยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง ตนเองเป็นคนทำมาหากิน ไม่เคยข้องเกี่ยวกับการเมือง
เพียงแต่ฝังใจว่า……
ตั้งแต่เล็กจนโต เกิดมาทุกคนก็ต้องยืนเคารพธงชาติ ซึ่งวันที่เกิดเหตุ เด็กคนดังกล่าวไม่ได้ยืนเคารพธงชาติ จึงทำให้ตนเองไม่พอใจ และทุกครั้งที่เห็นใครไม่ยืนเคารพธงชาติ ตนก็จะถามทุกครั้ง
หลังจากนี้ จะไม่ยุ่งเกี่ยวอีกแล้ว ถ้าหากว่าเห็นใครไม่ยืนเคารพธงชาติอีก จะได้ไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก”
เรื่องนี้ จบแบบว่า …….
คุณแม่ค้ายกมือไหว้ขอโทษผู้ปกครองเด็กและบอกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทางผู้ปกครองเด็กก็ให้อภัย
ส่วนด้านคดี “ทำร้ายร่างกาย “ตำรวจก็จะทำไปตามขั้นตอนกฎหมาย
ตามบทกฎหมาย ทำร้ายร่างกาย มาตรา ๓๙๑ โทษคุกไม่เกินหนึ่งเดือน ปรับไม่เกินหนึ่งหมื่น อายุความหนึ่งปี
จากผลคดีผ่านๆ มา ศาลท่านปราณี ทำร้ายร่างกายไม่บาดเจ็บร้ายแรง ไม่ส่งผลกระทบกระเทือนจิตใจ เป็นลหุโทษ ศาลท่านไม่ลงโทษถึงคุกหรอก
แล้วการไม่เคารพธงชาติล่ะ ผิดกฎหมายมั้ย?
ตอบว่า ก่อนปี ๒๕๕๓
ผิด ตาม “พ.ร.ฎ.กำหนดวัฒนธรรมแห่งชาติ” พุทธศักราช ๒๔๘๕
หลังปี ๒๕๕๓ แล้ว ไม่ผิด!
เพราะรัฐบาล”นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ออก พ.ร.บ.วัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๕๓ เป็นผลให้พ.ร.ฎ.กำหนดวัฒนธรรมแห่งชาติ “สิ้นสภาพ” ไป
อ๊ะอ๊ะ……
ถึงกฎหมายลูกฉบับนี้ยกเลิก แต่ “พรบ.ธง” ยังมีอยู่!
พรบ.ธง พ.ศ.๒๕๒๒
มาตรา ๔๕ การใช้ ชัก หรือแสดงธงที่มีความหมายถึงประเทศไทยหรือชาติไทยตามมาตรา ๕ ให้เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
มาตรา ๔๘ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๔๕ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือทั้งจำ
ทั้งปรับ
นั่นคือ การไม่เคารพธงชาติ มีความผิดตามกฎหมายอยู่
กรณีนักเรียนหญิงผู้นี้
ฟังเหตุผลฝ่ายทำร้ายไปแล้ว ลองฟังฝ่ายถูกทำร้ายบ้าง
ผอ.โรงเรียนของเด็กคนนั้นบอกว่า เด็กไม่ได้มีเจตนาจะไม่ยืนตรงเคารพธงชาติ แต่เนื่องจากเป็นรอบเดือนและปวดท้อง
แต่เพื่อนหญิงที่มาด้วยกันนั้นได้ยืนตรง ทำให้แม่ค้าสาวเห็นว่าเด็กไม่ยืนตรงทำความเคารพ จึงเกิดการโต้เถียงกันเกิดขึ้น
เด็กนักเรียนนั้นเป็นเด็กดี เป็นนักเรียนกิจกรรม มีความประพฤติเรียบร้อย ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง มั่นใจว่าเด็กไม่ได้มีเจตนาที่จะไม่ยืนตรงเคารพธงชาติ”
สรุป………
เป็นเหตุผลที่ “เข้าใจได้” ทั้งสองฝ่าย เด็กเหตุจากประจำเดือนมา น่าเห็นใจ และมีส่วนถูกที่อ้างว่า “การไม่ยืนเคารพธงชาติเป็นสิทธิส่วนบุคคล”
แต่ถูกครึ่งเดียว ด้าน “ใช้สิทธิ” ซึ่งหมวด ๓ สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย มาตรา ๒๕ บอกว่า
บุคคลมีสิทธิได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ ตราบเท่าที่การใช้สิทธิหรือเสรีภาพนั้น ไม่กระทบกระเทือน หรือเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐ….ฯลฯ
ส่วนคุณแม่ค้า ทำ “หน้าที่” ปวงชนชาวไทยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๕๐ ได้สมหน้าที่
“บุคคลมีหน้าที่พิทักษ์ รักษาไว้ซึ่ง ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข….ฯลฯ
เรื่องจะคุยยังไม่หมด แต่หมดเนื้อที่
ขออนุญาตไม่อยู่ซัก ๔-๕ วัน พบกันเดือนหน้าโน้นนะครับ.