27 ต.ค.63 นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อภิปรายชี้แจงในการประชุมร่วมกันของรัฐสภาฯชื่นชมสมาชิกรัฐสภาและประธานสภาฯ ที่ได้ร่วมกันพูดคุยเพื่อหาทางออกของวิกฤติของประเทศ จนนำไปสู่การเปิดการอภิปรายทั่วไปในวันนี้ ซึ่งตนเองถือว่าเป็นแสงสว่างรำไร ที่จะเห็นสภาฯที่ทุกคนอาสาเข้ามาเป็นตัวแทนของประชาชนในการที่จะแก้ปัญหาให้ประชาชน ซึ่งไม่ว่าจะเกิดวิกฤติอะไรก็แล้วสภาแห่งนี้ควรเป็นที่พึ่งของพี่น้องประชาชน
และในขณะที่เห็นว่าสถานการณ์เริ่มจะเลวร้าย สถานการณ์เริ่มจะควบคุมไม่อยู่ นายกฯและรัฐบาลได้เห็นด้วยกับแนวคิดของสมาชิกรัฐสภาจึงขอเปิดสมัยวิสามัญเปิดการอภิปรายตามมาตรา 165 แต่หลังจากที่มีการเสนอญัญติ ตนเองผิดหวังที่พรรคร่วมฝ่ายค้านระบุว่าญัตติที่รัฐบาลเสนอมานั้นไม่มีความจริงใจในการแก้ไขปัญหา และจะให้ร้ายต่อชุมนุมโดยผู้ชุมนุมไม่มีทางตอบโต้ ซึ่งคำพูดนี้ฟังดูเหมือนจะดี ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่ยืนยันได้ว่าในประชุม ครม. นายกฯมีเจตนาบริสุทธิ์อย่างยิ่งที่ต้องการที่จะแก้ไขปัญหาของประเทศผ่านทางรัฐสภา และมีความจิงใจและเจตนาอย่างแน่วแน่การเสนอญัตติ
นอกจากนี้ในญัตติยังมีการพูดถึงข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุม และตนเองเชื่อว่าภาวะของสมาชิกรัฐสภานั้น ย่อมเล็งเห็นได้ว่าเราสามารถที่จะอภิปรายได้ในหลายรูปแบบ ในทางสร้างสรรค์ที่จะแก้ปัญหาด้วยเจตนาและความจริงใจจะแก้ปัญหาของประเทศจริง รวมถึงการอภิปรายในวันนี้ทำให้เห็นว่าสมาชิกรัฐสภาเกือบทั้งหมด ไม่มีกล่าวร้ายผู้ชุมนุมโดยไม่จำเป็นแม้แต่น้อย แต่ตรงกันข้ามพรรคร่วมฝ่ายค้านกลับมีแต่กล่าวโจมตีอีกฝ่ายหนึ่งโดยที่ไม่คิดถึงหนทางแก้ไขที่เป็นไปได้
ซึ่งส่วนตัวมองว่าเราในฐานะที่เป็นตัวแทนของประชาชนได้เล็งเห็นถึงความรุนแรง เล็งเห็นถึงความแตกแยกของสังคมทางความคิดในระบบประชาธิปไตย แต่ฝ่ายค้านกลับเมินเฉยว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นข้อเรียกร้องธรรมดา เป็นข้อเรียกร้องที่ทุกคนต้องปฏิบัติตาม ซึ่งหากคิดเช่นนั้นถือว่ามีจิตใจที่คับแคบกับระบอบประชาธิปไตยเกินไป
นายอนุชายังอภิปรายว่าแม้นายกฯจะบริหารราชการแผ่นดินมากี่ปี แต่มาตามระบอบประชาธิปไตยและได้รับเลือกเข้ามาโดยรัฐธรรมนูญที่ผ่านการทำประชามติ ทั้งนี้แม้หลายฝ่ายจะไม่ต้องการให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญแต่นายกฯได้แสดงเจตนาว่าต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามที่รัฐสภาต้องการ ซึ่งถือว่านี่คือระบอบประชาธิปไตยที่ต้องมาพูดคุยกันในรัฐสภา
นายอนุชายังระบุว่าพรรคพลังประชารัฐมีจุดยืนที่จะยึดมั่นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และตามที่หัวหน้าพรรคได้กล่าวไว้ว่าต้องการทำให้ประชาชนกินดีอยู่ดี รวมถึงมีจุดยืนในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของผู้เรียกร้อง
“คำว่าประชาธิปไตยผมคงไม่พูดถึงว่าใครคิดอย่างไร และไม่อาจสั่งสอนหรือบอกกับทุกคนที่มีวุฒิภาวะ แต่มีสิ่งหนึ่งที่หนีไม่ได้จากการเป็นประชาธิปไตย คือการเลือกตั้งแล้วต้องอยู่ครบให้ 4 ปีตามรัฐธรรมนูญ แต่หากท่านคิดว่าเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณและมองว่าตนเองมีความสามารถที่จะนำพาประเทศเดินหน้าไปได้ อีก 4 ปีขอให้ท่านมาเลือกตั้งใหม่ ไม่ใช่มาใช้วิธีอย่างนี้”
นายอนุชาระบุว่าไม่มีรัฐธรรมนูญฉบับใดที่ออกแบบขึ้นมาเพื่อให้คนออกมาเรียกร้องแล้วบอกว่าต้องทำในสิ่งที่ตนเองต้องการ ซึ่งในระบอบประชาธิปไตยเห็นต่างได้แต่ต้องเคารพความเห็นต่างแต่ ไม่ใช่ความเห็นต่างนั้นจะนำไปสู่ความแตกแยก เพราะยังมีสังคมอีกส่วนที่เห็นต่าง
ส่วนข้อที่เรียกร้องของผู้ชุมนุมที่ให้นายกฯลาออก นายอนุชายืนยันและบอกกับนายกฯว่าห้ามลาออก เพราะหากนายกฯลาออกเท่ากับว่าเป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และยังเห็นว่านายกฯไม่ได้ทำอะไรที่ผิดกฎหมาย หรือผิดรัธรรมนูญ และบริหารบ้านเมืองผิดพลาด ขณะที่ข้อเรียกร้องให้ปฏิรูประบบกษัตริย์ พูดเหมือนดี พูดเหมือนเท่ แต่สิ่งที่ผู้ชุมนุมไปปิดขบวนเสด็จ และแสดงอาการที่ไม่บังควรนั้นถามกลับว่าเป็นสิ่งที่ดีแล้วหรือไม่
นายอนุชายังเชื่อว่าทุกคนในสภาฯรักประเทศนี้ ยืนหยัดที่จะดูแลและปกป้องประเทศ ยืนหยัดที่จะดูแลและปกป้องประชาชน ไม่อยากให้เกิดความรุนแรงกับลูกหลานที่กำลังทำตามความคิดหรือไม่รู้ว่าทำตามความคิดของใคร แต่สมาชิกรัฐสภาต้องไม่ลืมว่ามีความคิดเห็นแตกแยกและในแผ่นดินอยู่และหากไม่ช่วยกันระงับเพราะเล็งเห็นอะไรบางอย่างอยู่ภายภาคหน้าคนเหล่านั้นจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ
“หากพวกท่านเห็นว่าประชาธิปไตยควรที่จะมีทางออก ต้องเจรจาในความเห็นที่แตกต่าง ไม่ใช่บังคับหรือขู่เข็ญว่าต้องทำอย่างไร เพราะการบังคับไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย นี่คือสังคมไทย ตนเองต้องการเห็นการเจรจาหาข้อยุติโดยสันติวิธี ช่วยกันหาทางแก้ไข และในสิ่งที่สังคมต้องการตัวช่วยให้ประชาชนมีความเบาใจว่าลูกหลานของจะปลอดภัย ให้ประชาชนมีความอุ่นใจว่าทุกคนในสังคมหันหน้าคุย และสิ่งที่อยากฝากสมาชิกรัฐสภาฯทุกคนก็คือพวกเราร่วมใจกันที่จะดูแลปกป้องแผ่นดินของเรา ดูแลปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ดูแลและปกป้องประชาชนไม่ว่าเค้าจะเห็นด้วย หรือเห็นต่าง”