หน้าที่ใครในกรณี “ดร.ชลิตา”?

จำชื่อ “หมอโด่ง” ได้มั้ย?

“พันตรี วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ” อดีตเลขาฯรมว.พาณิชย์ ที่ศาลจำคุก ๕๐ ปี คดีทุจริตข้าวจีทูจีร่วมบุญทรง แต่หนีไปนั่นน่ะ
เมื่อวาน (๓ ตค.๖๒) เว็บราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่คำสั่งศาล “ยึดทรัพย์” เรียบร้อยไปแล้ว
แล้วดูนี่……..
อีกหนึ่งตัวอย่างสำนึกดีในเลว ที่ไม่รู้จะบอกว่า เห็นใจ หรือสมน้ำหน้า
อ่านที่ “นายสมหวัง อัสราษี” นิ้วก้อยข้างซ้ายของ “วีระ-จตุพร-ณัฐวุฒิ” โพสต์เมื่อวานก็แล้วกัน
“ใครไม่โดนกับตัวเองจะไม่รู้ว่าหนักแค่ไหนแบบเดียวกับผม ผมอยู่ นปช.มีแต่ใจเกินร้อยกับพี่น้อง
แต่หารู้ไม่ว่า ตัวเองกำลังมีชะตากรรมที่ต้องแบกรับแทนคนอื่น
สามเกลอใช้ผมไปเปิดบัญชี เพื่อรับเงินบริจาค และกิจกรรมอื่นๆ
โดยที่พวกเขาไม่ยอมใช้ชื่อตัวเองไปเปิดบัญชีรองรับเงิน เพราะเขารู้ว่า จะถูกสรรพากรประเมินเสียภาษี


ทั้งหมดนี้ ผมโดนสรรพากรเรียกเก็บภาษีจากเงินเหล่านี้ เป็นเงิน 572 ล้าน
ผมจะเอาที่ไหนไปจ่าย ก็เลยโดนฟ้องล้มละลาย และตอนนี้ โดนอายัดทรัพย์ และอายัดบัญชีทั้งหมด
เหลือแต่ตัวแล้วครับ แถมเป็นบุคคลล้มละลายด้วย ไม่สามารถทำอะไรได้เลย
นี่คือ สมหวัง อัสราษี ผมมันโง่เอง รักพวกจนไม่คิดถึงชีวิตและอนาคตตัวเอง บทเรียนที่แสนแพงในชีวิต
ฉิบหายทั้งตระกูล เพียงเพราะคำว่า “เพื่อน”
อืมมมม……….
สลักตัวแดงแจกพวกแดงทั้งแผ่นดินไว้บูชาคนละผืนไปเลย
“ฉิบหายทั้งตระกูล เพียงเพราะคำว่าเพื่อน”


ก็อาจเลือนๆ กัน “สมหวัง อัสราษี” คือใคร ความเป็นมาในอดีต ย่อๆ จาก “เว็บไทยรัฐ” มีดังนี้ ขอลอก
นายสมหวัง อัสราษี……..
เลขานุการ รมว.พาณิชย์และอีกตำแหน่งแกนนำเสื้อแดงคนสำคัญ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเป็นสปอนเซอร์รายใหญ่ จึงถือเป็นผู้รู้ลึก รู้จริงเรื่องความเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงคนหนึ่งทีเดียว!


เพราะล่าสุด ออกมาปูดข่าวว่าวันนี้ (26 มี.ค.) นางธิดา ถาวรเศรษฐ และ นายจตุพร พรหมพันธุ์
จะเดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ฮ่องกง
เพื่อหารือแนวทางการเคลื่อนไหว ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมหรือไม่ ไม่ช้าไม่นานคงได้เห็นกัน
ตำแหน่งปัจจุบัน :
2 พฤศจิกายน 2555 ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ)
ตำแหน่งอื่นๆ :
30 สิงหาคม 2554 ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์(นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง)
24 มกราคม 2555 ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ)
ก็จบรายการ “มรณานุสติ”!
แต่ แหม…มันก็น่าเป็นแกนนำบ้างนะ เฉพาะภาษียังตั้ง ๕๗๒ ล้าน แล้วเงินต้นจะขนาดไหน คิดเอา?


คุยเรื่อง “ดร.ชลิตา บัณฑุวงศ์” ดีกว่า……..
ตำแหน่งเธอ รองหัวหน้าภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์
เป็นทั้งดอกเตอร์ ทั้งจานมหาลัย มันสมองต้องเยอะล้นกระโหลก เส้นผมจึงร่นไปเกือบครึ่งกระบาล
เธอดังชั่วข้ามคืน บนเวที ๗ พรรคฝ่ายค้าน ที่ปัตตานี เมื่อ ๒๘ กย.ด้วยบทนางเอกสามหาว ประมาณว่า
“………ประเทศไทยอาจจะไม่จำเป็นต้องมีรัฐเดี่ยวหรือแบบรวมศูนย์ ซึ่งอาจจะรวมถึงมาตราที่ ๑ ด้วยก็ได้”


แบบนี้ก็เป็นเรื่องซี
เพราะมาตรา ๑ คือ “หัวใจรัฐธรรมนูญ-หัวใจประเทศ” ที่จะร่างมากี่ฉบับ ใครก็จะไม่แตะมาตรานี้่
ขนาดรัฐธรรมนูญฉบับแรกของคณะราษฏร์ ล้มอำนาจพระมหากษัตริย์ เปลี่ยนการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตย
ยังต้องเจิมไว้เป็นมาตราแรกว่า……..
มาตรา ๑ สยามประเทศเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้
ประชาชนชาวสยามไม่ว่าเหล่ากำเนิดหรือศาสนาใด ย่อมอยู่ในความคุ้มครองแห่งรัฐธรรมนูญนี้เสมอกัน
แล้วนี่ เธอกินยาเสียสติมาจากไหน จะให้แบ่งแยกประเทศ เทปสั้น-เทปยาวที่พูด เป็นหลักฐานชัด
แต่ก็ไม่รู้นะ อาจจะได้มันปากฟรีก็เป็นได้ เพราะไม่เห็นเจ้าหน้าที่บ้านเมือง เขารู้สึก-รู้สาอะไรกับเรื่องนี้


เกี่ยงกัน เหมือนกรณี สส.ขอนแก่นเข้าไปอยู่ในคุกแล้ว ทั้งรัฐธรรมนูญก็เขียนแยกแยะไว้ชัด ว่าตรงไหน-แค่ไหน จะขาดจะยังไม่ขาดจากความเป็นสส.
แต่ โยนกันไป-โยนกันมา สภาก็ว่า ไม่มีอำนาจชี้ขาด โยนไปที่กกต.
กกต.ลูบๆ คลำๆ รักษาตัวรอดเป็นยอดดีดีกว่า เขี่ยไปรัฐบาล รัฐบาลเขี่ยก็ลับ
ลงท้าย “ศาลรัฐธรรมนูญ” กลายเป็นศาลครอบจักรวาล!
เนี่ย จะเป็นบรรทัดฐาน เอะอะโยนศาลรัฐธรรมนูญ
ไม่ใช่ไม่ชัดในกฎหมาย แต่สังเกตว่า จะเป็นลักษณะสังคมชาติซะก็ไม่รู้?
ชอบมีอำนาจวาสนา แต่ไม่กล้าตัดสินใจ
“กลัว” ต้องรับผิดชอบ!


อย่างกรณีดร.ชลิตา ผู้กองปูเค็ม ไปยื่นหนังสือถึงอธิการบดี ม.เกษตร.
นายศรีสุวรรณ เดี๋ยวว่าจะไปร้องต่ออัยการสูงสุดตามมาตรา ๔๙ ต่อมาบอก อาจเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๓ บ้าง มาตรา ๑๑๖ บ้าง
ก็ว่าไป แต่สรุปว่า เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ทุกคน…งง
ไม่รู้ใครต้องเป็นเจ้าภาพ ทั้งไม่แน่ใจจะเข้าข่ายกฎหมายไหน มาตราไหน?
เออ…ดูๆ มันก็พิลึกนะ
เรื่องใหญ่ระดับหัวใจ แต่ถึงเวลา หมออยู่ไหน..คนไหน..และใครเป็นญาติ
ไม่รู้ ไม่มี!
“หน้าที่ของรัฐ” ล่ะ มีมั้ย?
มี…หมวด ๕ ในรัฐธรรมนูญ ว่าด้วย “หน้าที่ของรัฐ” มาตรา ๕๒ บอกว่า เช่น
รัฐต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช อธิปไตย บูรณภาพแห่งอาณาเขตและเขตที่ประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตย เกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ ความมั่นคงของรัฐ และความสงบเรียบร้อยของประชาชน…ฯลฯ……


ฉะนั้น อย่ามั่วสงบสยบความเคลื่อนไหวอยู่เลย เป็นเรื่องอาญา เหตุประจักษ์ซึ่งหน้า
จะฝ่ายมั่นคง ฝ่ายตำรวจ ต้องจัดการกรณีนี้ให้รู้ผิด-รู้ถูก ไม่ควรนิ่งเฉย
จะมาตรา ๑๑๓ หรือ ๑๑๖ ตามประมวลกฎหมายอาญา เป็นเรื่อง “หน้าที่ของรัฐ” ต้องจัดการ
เคยมีตัวอย่างมาแล้ว ผู้ต้องหากลุ่มเดียวกัน กระทำแบบเดียวกัน
แต่ศาลตัดสินทั้งยกฟ้อง ด้วยเหตุไม่มีพยานหลักฐานและเหตุพยานหลักฐานยืนยันไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิด
และทั้งศาลตัดสินจำคุกมาแล้ว เพราะหลักฐานพร้อม!
ขอยกจากเว็บ “ประชาไท” ในคดีจำคุกมาให้ศึกษา และขอบคุณไว้ตรงนี้ด้วย


——————-
ประชาไท
22 ก.ค.58 ศาลจังหวัดเชียงรายนัดฟังคำพิพากษาคดี นายออด สุขตะโก และพวกรวม 3 คน ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116
จากกรณีถูกกล่าวหาว่าได้ร่วมกันติดป้ายที่มีข้อความว่า “ประเทศนี้ไม่มีความยุติธรรม กูขอแยกเป็นประเทศล้านนา” บริเวณสะพานลอยหน้าห้างเซ็นทรัลพลาซ่า เชียงราย เมื่อวันที่ 26 ก.พ.57
ช่วงเดียวกับที่มีการชุมนุมของกลุ่มกปปส.ที่กรุงเทพมหานคร
ในคดีนี้ มีทั้งสารวัตรป้องกันปราบปรามสภ.เมืองเชียงรายและเจ้าหน้าที่ทหารเป็นผู้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ โดยจำเลยทั้งสามได้แก่ นายออด สุขตะโก, นางถนอมศรี นามรัตน์ และนายสุขสยาม จอมธาร เป็นกลุ่มคนเสื้อแดงในอำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย
ถูกจับกุมในช่วงเดือนมิ.ย.57 ภายหลังการรัฐประหาร ก่อนได้รับการประกันตัว และให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา
ศาลจังหวัดเชียงรายได้อ่านคำพิพากษาโดยสรุปให้ฟัง โดยพิจารณาในสามประเด็นหลัก
ได้แก่ มีการติดป้ายข้อความตามฟ้องจริงหรือไม่ ศาลรับฟังจากพยานหลักฐานของโจทก์ เห็นว่าได้มีการนำแผ่นป้ายไปติดที่สะพานลอยที่เกิดเหตุจริง
โดยมีภาพเคลื่อนไหวจากกล้องวงจรปิดที่ระบุวันเวลาไว้ และปรากฏภาพบุคคล 6 คนนำแผ่นป้ายไปติด
ศาลพิจารณาต่อว่า จำเลยทั้งสามเป็นหนึ่งใน 6 บุคคลตามภาพหรือไม่
โดยเห็นว่าจากภาพของกล้องวงจรปิดที่พนักงานสอบสวนจัดทำเป็นภาพนิ่ง มีใบหน้าตรงกับจำเลยทั้งสาม ทั้งได้มีผู้ใหญ่บ้านของจำเลยมาเบิกความยืนยันภาพว่าเป็นจำเลยทั้งสามจริง
ในประเด็นสุดท้าย ศาลพิจารณาว่าข้อความตามป้ายมีความผิดตามมาตรา 116 หรือไม่
โดยศาลพิเคราะห์ว่า การนำสืบของจำเลยเจือสมกับโจทก์ เรื่องที่สถานการณ์ทางการเมืองในช่วงเวลาเกิดเหตุ มีความแตกแยกในหมู่ประชาชน
มีการจัดตั้งกลุ่มการเมืองต่างๆ ป้ายข้อความดังกล่าวจึงอาจก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้น
ข้ออ้างที่ว่า ไม่มีความยุติธรรมต่อกลุ่มการเมืองของจำเลยทั้งสามเป็นการคิดเอาเองฝ่ายเดียว
ถ้อยคำ “ขอแยกเป็นประเทศล้านนา” มีความหมายว่าไม่ยอมรับการยกคำร้องของศาลอาญาในการขอออกหมายจับแกนนำกลุ่มกปปส.ในช่วงนั้น
เป็นการปฏิเสธอำนาจของศาลอาญาที่มีกฎหมายให้อำนาจในการปฏิบัติหน้าที่ไว้ มิใช่เพื่อแสดงความเห็นหรือติชมโดยสุจริต
จึงมีเจตนาทำให้เกิดความกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร
ศาลจึงพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามม.116 ให้จำคุกคนละ 4 ปี
แต่จำเลยให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้าง จึงให้ลดโทษ 1 ใน 4 เหลือจำคุก 3 ปี
และจำเลยทั้งสามไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน จึงให้รอการลงโทษไว้ เป็นระยะเวลา 5 ปี


ครับ…..
นี่คือตัวอย่าง “ใครคือเจ้าภาพ?” ในคดีอย่างนี้ ไม่ได้ยกมาในความหมายเจาะจงว่า ที่ดร.ชลิตาพูดนั้นผิด
ผิด-ถูก เป็นวินิจฉัยของศาล แต่การนำเข้าสู่กระบวนการ เป็นเรื่องเจ้าหน้าที่รัฐ
รับผิดชอบกันหน่อยนะ!

Written By
More from plew
รหัสลับ “จดหมายรัก” – เปลว สีเงิน
เปลว สีเงิน “ทรงอย่างแบด แซดอย่างบ่อย” รุ่นฟันน้ำนม “ฮิต” ชนิดลืมนมแม่ แต่  “จดหมายเปิดใจพลเอกประวิตร” กลับฮิตในหมู่คนรุ่น “นาฬิกาเพื่อน-แหวนแม่”
Read More
0 replies on “หน้าที่ใครในกรณี “ดร.ชลิตา”?”