“มีการกล่าวหาว่านักศึกษาหลอกง่าย ถ้าหลอกง่ายก็อยากให้ท่านนายกฯ หลอกเขากลับไปบ้าง ไปกล่าวหาว่าเขาเป็นเครื่องมือของใคร เขาไม่มีทางเป็นเครื่องมือเหมือนกับกลุ่มคน 250 คนที่มาโหวตให้ท่านเป็นนายกฯหรอก”
วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส. บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ร่วมอภิปรายในวาระรับทราบร่างรายงานการพิจารณาศึกษา เรื่องแนวทางการสร้างความปรองดอง สมานฉันท์ของคนในชาติ ซึ่งคณะกรรมาธิการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชนพิจารณาเสนอ
โดยวิโรจน์ระบุว่า สังคมไทยพูดถึงแนวทางการสร้างความปรองดองมานานแล้ว แต่สร้างไม่ได้กันสักที ถ้านับตั้งแต่ปี 2553 ที่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่ชาติ (คอป.) ปัจจุบันครบสิบปีพอดี นับตั้งแต่รายงานออกมาในปี 2555 ความปรองดองไม่เคยเกิดขึ้นเลย เพราะรัฐไม่เคยเข้าใจนิยามของคำว่าปรองดองอย่างแท้จริง
ความปรองดองต้องเริ่มจากการแสวงหาข้อเท็จจริง ซึ่งส่วนใหญ่ก็มาจากการกระทำอันมิชอบและป่าเถื่อนของรัฐบาลในอดีต โดยเฉพาะรัฐบาลเผด็จการ แล้วจึงตามมาด้วยกระบวนการเยียวยาความเสียหายอย่างเข้าอกเข้าใจกัน มีการรับผิด ขอโทษ จากนั้นจึงมีการอภัยโทษหรือนิรโทษกรรม เมื่อนั้นความปรองดองจึงจะเกิดขึ้นได้
และเมื่อความจริงถูกทำให้ปรากฏแล้ว ก็จะต้องมีการชำระประวัติศาสตร์ เพื่อให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้ถึงความล้มเหลวในอดีต เพื่อไม่ให้โศกนาฏกรรมเกิดขึ้นซ้ำอีก รัฐบาลยุคต่อๆมาก็จะได้สำเหนียก มีความอดทนอดกลั้น ไม่ประพฤติชั่วร้ายเหมือนที่เคยทำมามาในอดีต
แต่ที่ผ่านมารัฐไทย โดยเฉพาะรัฐบาลเผด็จการ ไม่เคยมองคำว่าปรองดองในมุมนี้ คำว่าปรองดองของรัฐไทยคือการกล่าวโทษไปที่ประชาชน ทุกครั้งที่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นก็จะบอกว่าประชาชนผิด ไม่ตีแผ่ความผิดขอผู้มีอำนาจและกองทัพ ผู้ที่ครอบครองและใช้อาวุธประหัตประหารประชาชนเลย จากนั้นซื้อเวลาเพื่อให้คดีความหมดอายุความ บีบให้เหยื่อยอมรับกับชะตากรรมของตน แล้วขอให้สังคมลืมอย่าพูดถึงมันอีก ตั้งแต่เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2561 ไล่มาจนถึงเหตุการณ์พฤษภาอำมหิตในปี 2553
“เหมือนเราอุจจาระเลอะกางเกง แต่เราไม่ยอมล้าง แต่พยายามจะเอากางเกงตัวใหม่มาใส่ทับ กลิ่นยังไงก็คลุ้ง คราบยังไงก็เห็น นั่งยังไงก็ไม่สบายเพราะอุจจาระมันเต็มกางเกง แบบนี้ไม่ได้เรียกว่าความปรองดอง” วิโรจน์กล่าว
วิโรจน์อภิปรายต่อ ว่ายิ่งในปัจจุบันปัจจุบันภายใต้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เลือกใช้วิธีการส่งเจ้าหน้าที่ไปคุกคามนักเรียน ม.ต้น ม.ปลาย ไปจนถึงนิสิตนักศึกษา อายุที่น้อยที่สุดคือ 12 ปี คุกคามกันแบบนี้ทั่วประเทศ วิธีการคือมีครูบางคนเอาข้อมูลส่วนตัวนักเรียนให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ, กอ.รมน. จากนั้นเจ้าหน้าที่เหล่านี้ก็ไปคุกคามนักเรียน ผู้ปกครอง มีการเปิดโรงเรียนให้เจ้าหน้าที่เหล่านี้เข้ามาในโรงเรียน ขู่ว่าจะไล่ออกบ้าง ให้สอบตกบ้าง ไม่ให้สอบบ้าง แต่ที่แย่ที่สุดคือพยายามกดดันให้นักเรียนไปจัดกิจกรรมนอกโรงเรียน เพื่อให้เจ้าหน้าที่แจ้งความดำเนินคดีกับลูกศิษย์ของตัวเอง
“ทำไมแค่นักเรียนอยากชูกระดาษเปล่าอย่างสงบถึงจะเป็นจะตายกันให้ได้ นักเรียนเอากระดาษกาวมาแปะทับชื่อตัวเอง ครูก็ไปดึงกระดาษกาวออกแล้วถ่ายคลิป วินาทีที่ท่านดึงกระดาษก้าวออกท่านก็ไม่ใช่ครูแล้ว ถ้าอย่างนี้ยกเลิกวิชาหน้าที่พลเมืองไปเลย เพราะวัตถุประสงค์ของวิชานี้คือการสร้างจิตสำนึกและทำให้นักเรียนเห็นคุณค่าของวิถีทางประชาธิปไตย แต่ในทางปฏิบัติกลับปิดกั้นคุกคามนักเรียนไม่ให้ใช้สิทธิเสรีภาพเรียกร้องประชาธิปไตย”
นอกจากนี้ วันพุธที่ 5 สิงหาคม พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ว่าพร้อมรับฟังนักศึกษา แต่อีกสองวันต่อมาออกหมายจับนักเรียน 31 คน ตนเข้าไปฟังในคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมือง ผู้แทนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ บอกว่าไม่มีคำสั่งจากนายกฯ หรือ ผบ.ตร.ให้ไปคุกคามนักเรียน แต่วันที่ 10 สิงหาคมก็ยังมีการไปคุกคามนักเรียนเกิดขึ้นอีก พล.อ.ประยุทธ์ ต้องเลิกปากว่าตาขยิบ และถ้ายังคุกคามนักเรียนนักศึกษาไม่เลิกเช่นนี้ จะไม่เหลือความไว้เนื้อเชื่อใจ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่เลย
วิโรจน์กล่าวต่อไปอีกว่า นอกจากการคุกคามที่จะเป็นอุปสรรคต่อการปรองดองแล้ว ทัศนคติของรัฐบาลก็จะต้องเปลี่ยนด้วย อย่าไปเพ่งโทษกล่าวหา อย่าไปใช้คำว่าจาบจ้วงบ้าง ชังชาติบ้าง จนทุกวันนี้คนที่พูดคำพูดนี้กลายเป็นตัวตลกไปแล้ว
“ผมยืนยันว่าตราบใดที่รัฐบาลยังคงคุกคามประชาชน ไม่มีความจริงใจที่จะสร้างนิติรัฐ ที่ให้ประชาชนทุกคนมีความเสมอภาคกันต่อหน้ากฎหมาย ไม่คิดที่จะให้มีรัฐธรรมนูญที่ประชาชนมีส่วนร่วม และยังโหนรัฐธรรมนูญที่เป็นดำริจากเผด็จการให้คงอยู่ต่อไป ซ้ำร้ายยังสถาปนา ‘นิติรัฐอภิสิทธิ์’ ที่อนุญาตให้ผู้มีอำนาจ คนรวยที่ยอมจ่ายส่วยให้แก่เครือข่ายป่าอุปถัมภ์ให้ไม่ต้องรับผิดใดๆ อย่าว่าแต่เหตุการณ์ในอดีตที่วันนี้ยังหาความปรองดองกันไม่ได้เลย แม้แต่ความขัดแย้งในวันนี้ ที่อาจจะเป็นความขัดแย้งที่รุนแรงที่สุดที่เราอาจจะได้เห็นในช่วงชีวิตนี้ของเรา ก็อาจจะไม่มีทางปรองดองกันได้ ถ้าแม้กระทั่งรายงานฉบับนี้ก็ยังไม่ยอมรับไปอ่าน ผมขอยืนยันว่าสิ่งที่รัฐบาลนี้กำลังทำอยู่ ไม่ได้เรียกว่าการปรองดอง แต่เป็นการปองร้ายประชาชน” วิโรจน์กล่าวปิดท้ายการอภิปราย