วันนี้ มีเรื่องน่าสนใจ ๒ เรื่อง
เรื่องแรก
๔ ยอดกุมาร “อุตตม-สนธิรัตน์-สุวิทย์-กอบศักดิ์” ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรค “พลังประชารัฐ”เรื่องที่สอง
การมาเยือนไทยของผบ.ทบ.สหรัฐฯ
ในความ “ไม่มีอะไร” ของทั้ง ๒ เรื่องนี้ มัน “มีอะไร” อยู่เหมือนกัน ฉะนั้น วันนี้ เราจะคุยกัน
เรื่อง ๔ กุมาร ในความเห็นผม ไม่ใช่เพราะตำแหน่ง-อำนาจในพรรค ถูกยึดไปหมดแล้ว จึงลาออก
ทั้งที่ พรรคนี้ “ก่อร่าง-สร้างมา” กะมือแต่เริ่มแรก!
แต่น่าเป็นเพราะ “ผู้ใหญ่” ปล่อยให้ “ลูกพรรค” บางคน แสดงความหยาบกร้าน ทั้งขับไล่ ทั้งใช้คำพูดเหยียดหยามต่างๆ นานา
เมื่อเป็นขนาดนี้ ยิ่งกว่าเอาตีนลูบหน้ากัน อย่าว่าแต่ ๔ กุมารเลย เป็นเรา-หรือใคร ก็ต้องไป
ขึ้นชื่อว่า “คน”
เลว-ดี-มีจน ยอมรับกันได้ แต่เหยียบย่ำ-หยามศักดิ์ศรี “ความเป็นคน” ด้วยกัน ไม่มีใครยอมหรอก เว้นแต่คนนั้น พร้อมลอดหว่างขา!
นี่…….
๔ ยอดกุมาร จึงไม่ยอมให้คำว่า “คนดูชา-หมาดูถก” เกิดขึ้นกับเขาได้ การลาออก ไม่ใช่ยอมแพ้ แต่เป็นการ “พิทักษ์ศักดิ์ศรี”
ทีนี้ มาดูถึงการลาออก
นายอุตตม เป็นรมว.คลัง นายสนธิรัตน์ เป็นรมว.พลังงาน นายสุวิทย์ เป็นรมว.อุดมศึกษาฯ
ทั้ง ๓ คนนี้ บอกชัด “ลาออกจากสมาชิกพรรค” ไม่ได้ลาออกจากความเป็นรัฐมนตรี ทำงานต่อไป จนกว่า “นายกฯ” จะสั่งอย่างใด-อย่างหนึ่ง
ส่วนนายกอบศักดิ์ ไม่มีปัญหา เพราะเป็น “รองเลขาธิการนายกฯ” ไม่เกี่ยวโควตารัฐมนตรีที่เขาแย่งกัน
แล้ว “รองนายกฯ สมคิด” ล่ะ ในฐานะ “หัวหน้าทีม ๔ ยอดกุมาร” จะเอาอย่างไรต่อไป?
ท่านรองฯสมคิด เข้าใจว่า ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค สิ่งหนึ่งที่ละไว้ในฐานะเข้าใจ คือที่ ๔ ยอดกุมารลาจากพรรค ต้องได้รับความเห็นชอบจากรองฯ สมคิดก่อนแล้ว
แบบนี้ แสดงว่า “มีแผน” รองรับอนาคต อย่างนั้นใช่ไหม?
แต่นายอุตตมพูดไว้ชัดเจน “ไม่ตั้งพรรคใหม่”!
ถือว่า “ทะลุแก่น” การเมือง สมเป็นยอดกุมาร
การตั้งพรรค “มันง่าย” แต่ทำพรรคให้พบความสำเร็จ ยากหรือง่าย ๔ กุมาร ซึ้งอยู่กับใจแล้วมิใช่หรือ?
แถมวันนี้ ยังต้องตายกับมือพรรคที่ตัวเองให้กำเนิดอีกตะหาก!
ฉะนั้น ประเด็น “ตั้ง-ไม่ตั้ง” เป็นเรื่องกาลข้างหน้า ที่ “เหตุปัจจัย” จะเป็นตัวบอก
ไม่ใช่ “ตัณหา-โมหะ-อัสมิมานะ” เป็นตัวบอก!
สรุป ประเด็น ที่ควรมอง คือ การลาออกจากพรรคของ ๓ รัฐมนตรี เกรด A เป็นตัวเร่งการ “ปรับครม.” หรือไม่?
ตอบได้เลยว่า “ไม่”!
“ไม่” ในที่นี้ หมายถึงการปรับ มีแน่
แต่ประเมินว่า นายกฯท่านไม่รีบ และชั่งน้ำหนักแล้ว ปรับตามอยากพรรค กับการคงสภาพปัจจุบัน เพื่อให้งานเดินไปแบบไม่สะดุด โดยสังคมชาติได้ประโยชน์
นายกฯ น่าจะเลือกแบบหลังมากกว่า
นั่นก็หมายความว่า ให้ในพรรค “อั้นกระสัน” ไว้ก่อน ให้ “อุตตม-สนธิรัตน์-สุวิทย์” ทำภารกิจที่มอบหมาย ไปให้บรรลุรอบก่อน
หรือถ้าอั้นกันไม่ไหวจริงๆ “งบประมาณ” ผ่านเรียบร้อย อาจมีปรับย่อยบางตำแหน่ง-บางพรรคก็เป็นได้
เอาเป็นว่า แผนงานสถานการณ์โควิดบรรลุแล้ว มีวัคซีนแน่แล้ว วาระนั้น นายกฯ คงส่งสัญญาน “ปรับใหญ่”
ปรับใหญ่ ในความหมายว่า “ไม่มีอะไรที่ทุกคนอยากได้แล้วจะไม่ได้” และ “ไม่มีอะไรที่ทุกคนอยากได้ แล้วต้องได้ครบทุกคน”
ระดับหาง เอะอะอ้าง “โควตาพรรค”
ก็ถามคำ……
แล้วระดับหัวอย่างนายกฯ “จะไม่มีโควตาของท่านบ้างเลยเชียวหรือ?”
อย่าง “พลเอกประยุทธ์” ไม่ใช่ “นายกฯเจว็ด” ท่านเป็น “แผ่นป้ายแห่งความหวังและศรัทธา” ของประชาชน
ประเทศน่ะ รอดอยู่แล้ว ….
แต่รอดแบบเห็นอนาคตรุ่งโรจน์ จุดนี้ ประชาชนมุ่งหมาย “ฝากฝี-ฝากไข้” ไว้ที่นายกฯ ประยุทธ์คนเดียว
ดังนั้น เก้าอี้ไหน พอให้ได้ ก็เจียดให้ไปในระบบโควตาพรรค แต่บางเก้าอี้ ให้คนเลือกไม่ได้ เก้าอี้จะเป็นฝ่ายเลือกคนนั่งเอง!
ในมิตินี้ สรุปได้เลยว่า…….
ยังไม่ต้องพูดถึงการ “ปรับออก” ของ ๓ กุมาร อันถือเป็นโควตานายกฯ
จนกว่า ๑.ยุบสภา ๒.ปรับใหญ่ ลักษณะ “ดิสรัปท์”
ดิสรัปท์ของรัฐบาล จะไม่ได้มาจากพรรคพลังประชารัฐ แต่จะมาจากพรรค “ประชาธิปัตย์” ซึ่งได้เก้าอี้ครบตามโควตา
แต่โหวต “ครึ่งโควตา”
แถมเล่นไพ่ “ค้าน” ในหน้า “รัฐบาล” อีกตะหาก!
“ภูมิใจไทย” สส.มากกว่า คุมเสียงลูกพรรคได้ แต่โควตาคงเดิม ตรงนี้ จะเป็นเงื่อนไข “ประชาธิปัตย์-ภูมิใจไทย” กินใจกันเองแล้วลามไปกินตัวรัฐบาล
ยิ่งสภาล่มบ่อยๆ พรรคไหนทำตัวเป็นไส้ศึก ก็เห็นกันอยู่ ตรงนี้ จะเป็นอีกหนึ่งเงื่อนไข ต่อว่าและต่อรองโควตากัน
นำสู่เหตุ “ยุบสภา” โดยคิดไม่ถึงได้!
คุยเรื่องที่ ๒ เรื่องผบ.ทบ.สหรัฐฯ มาเยือนไทยบ้าง มัวแต่ดรามาประเด็นเปลือก ต้องไม่ ๒ มาตรฐานในมาตรการป้องกันโควิด
มาจ้องทำไมกะแค่คณะผบ.ทบ.สหรัฐฯ ไม่กี่คน และเขาเข้าสู่กระบวนการคัดกรองตามขั้นตอนครบถ้วน
เคร่งมาตรการชนิดหัวทิ่มบ่อกันนัก
โน่น ให้ไปช่วยรักษามาตรฐานตามชายแดน ด้านมาเลย์, พม่า, ลาว-เขมร โน่น ตอนนี้ ลักลอบเข้ามากันคึ่กๆ
ไม่จำเป็นมาเพ่งเล็ง จับผิด-จับถูก กับผบ.ทบ.สหรัฐฯ เพื่อเอาไปสร้างประเด็น เพื่อความมันทางกินแหนงระหว่างประเทศหรอก
ที่น่าสนใจ กลับไม่สนใจ เช่น ประเด็นว่า
แค่เซ็นชื่อแกร๊กเดียว ………..
ในแถลงการณ์ “วิสัยทัศน์ร่วม” ระหว่างทบ.ไทย-ทบ.สหรัฐฯ
จำเป็นถึงขั้น ผบ.ทบ.สหรัฐฯ “ต้องมา” ชนิดเลื่อนไม่ได้ ถึงขนาดนั้นเชียวหรือ?
แม้ขอร้องอย่าเพิ่งมา เพราะไทยยังไม่ปกติด้วยโควิดระบาด ผบ.ทบ.สหรัฐฯ ก็ยืนกรานต้องมา และพร้อมปฏิบัติตามมาตรการทุกอย่าง
แบบนี้ แสดงว่า เรื่องที่มาต้อง “สำคัญระดับชาติ”!
นั่นเป็นข้อ “ราชการลับ” ระหว่างประเทศ ไม่จำเป็นต้องไปรู้รายละเอียดเขา
แต่พออนุมานได้ว่า น่าเป็นเรื่อง “ตาอิน-ตานา” และไทยเรา ในความเป็นประเทศ “ศูนย์กลางภูมิภาค กำลังตกอยู่ในสถานะ “ตาอยู่”!
คือ สหรัฐกับจีน กำลังชิงความเป็นจ้าวโลกในศตวรรษใหม่กันอยู่
ศึกชิง “ทะเลจีนใต้” กำลังเข้มข้น!
ทะเลจีนใต้ มีเกาะหลายร้อยเกาะ จีนรวมเป็น ๒ เกาะใหญ่ ทางเหนือ เรียกว่า “หมู่เกาะพาราเซล” ทางใต้เรียกว่า “หมู่เกาะสแปรตลีย์”
ที่สแปรตลีย์ จีนไปสร้างเกาะเทียม ทำท่าเรือ ทำสนามบิน สร้างแนวป้องกันภัยทางอากาศรอบทะเลจีนใต้ โดยยึดเกาะเทียมเป็นแนว
แถมประกาศ ใครจะบินล่วงล้ำเข้ามาในน่านฟ้าโดยไม่ขออนุญาตจากจีนก่อนไม่ได้
สหรัฐฯ เต้นผาง ไม่รับรู้ในประกาศนั้น ถือเป็นน่านน้ำ-น่านฟ้าสากล เคยทดลองบินเข้าไปแล้ว ถูกจีนส่งเครื่องบินรบบินขึ้นไปสกัดหนหนึ่ง
และขณะนี้ ทั้งจีน ทั้งสหรัฐฯ “ซ้อมรบ” กันขนานใหญ่ในย่านทะเลจีนใต้ เรียกว่า ทั้งเรือรบ เครื่องบน ขีปนาวุธ ขนกันมาเต็มอัตรา
สแปรตลีย์ อยู่ทางใต้ ใกล้ฟิลิปปินส์ เวียดนาม ส่วนไต้หวัน จะค่อนไปทางพาราเซล ทางเหนือ
ถ้าดูแผนที่จะเห็น ทะเลจีนใต้ ปิดหัว-ปิดท้าย ด้วย ๒ หมู่เกาะนี้
สหรัฐฯ จึงยอมไม่ได้ ขืนยอม เท่ากับเสียภูมิภาคอุษาคเนย์ให้กับจีน และจะสิ้นสภาพ “จ้าวโลก” ให้จีนในที่สุด
ไทยต้องถูกดึงเป็น “ตาอยู่” ในเกมนี้ เพราะ………
สแปรตลีย์ เป็นเส้นทางเชื่อม “ช่องแคบมะละกา” ตรงสิงคโปร์-มาเลย์-ภูเก็ต
คือจากทะเลจีนใต้ออกมหาสุมทรอินเดีย เป็นเส้นทางเรือสินค้า โดยเฉพาะเรือบรรทุกน้ำมันจากตะวันออกกลางที่ช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งอิหร่านกับสหรัฐฯฮึ่มแฮ่กันอยู่ตอนนี้
นั่นคือ ถ้าปล่อยให้จีนยึดสแปรตลีย์ เท่ากับจีนคุมเส้นทางลำเลียงน้ำมันและสินค้า ซึ่งสหรัฐฯยอมไม่ได้เด็ดขาด
ทั้งหลาย-ทั้งปวง
ทั้งจีน-ทั้งสหรัฐฯตอนนี้
ไทย คือ “มหามิตร-และมิตรแท้” ขาดอะไรก็ขาดได้ แต่ฝ่ายไหน “ขาดไทย”
ต้องบอกว่า “ขาดใจ” ด้านพื้นที่ยุทธศาสตร์!
LineID:plewseengern.com