อย่างนี้ต้องฉลอง!
“๒๘ วัน” ติดต่อ ในประเทศไทย โควิด เป็น ๐!
แต่เห็น “ยอดรวม” ทั้งโลก พุ่งหลัก ๑๐ ล้าน ทะยานสู่ล้านที่ ๒ ชนิดแรงไม่ตก
ก็ฉลองไม่ลง!
ยิ่งกูรูแพทย์เตือน อย่ากระดี๊-กระด๊ากันมากไป การ์ดตกเมื่อไหร่ รอบ ๒ มาแน่ วางแก้วกึกเลยถ้ามาจริงๆ ผมว่า จะมาจากภายนอก ส่วนภายในกันเอง ไม่น่านะ เพราะคนไทย เท่าที่สังเกต เรื่องอื่นพอหยวนได้ แต่เรื่องการ “สวมหน้ากากอนามัย”……….
คนไทยจริงจัง “มาตรฐานโลก” ถึงขนาดนั้น!
ยิ่งการเข้มงวดตรวจตรา ทุกกิจการร้านค้า-ร้านขาย แหย่เท้าเข้าไป ต๊กใจ…พนักงานโดดออกมาสกัด แล้วยิงเปรี้ยงกลางแสกหน้า
ตะโกน ๓๖ จุด…จากนั้น ถึงจะปล่อยให้เข้าร้าน
ยิ่งร้านอาหารด้วยแล้ว พ่อเจ้า-แม่เจ้า กว่าจะได้กิน มากพิธี พอๆ กะตอนบวงสรวง!
ถ้าเผลอ ไม่สวมหน้ากากอนามัย ไม่ผ่านการยิงแสกหน้า จะถูกโวย ยังกะมีการก่ออาชญากรรมเกิดขึ้น!
ในกรุงเทพฯนะ……
ผมว่าร้อยละ ๙๐ ที่ครัดเคร่งสวมหน้ากากอนามัย ไม่ว่าจะขึ้นรถ ลงเรือ ไปเหนือ ล่องใต้ ฉุยฉายตามถนนทุกวันนี้ หน้ากากอนามัย เป็นอวัยวะงอกชิ้นที่ ๓๓ ในรางกาย ไปแล้ว
แต่ตามต่างจังหวัด เป็นไงไม่รู้ ยังไม่กล้าออกนอกสายสิญจน์ไปไหน ไปก็กลัวเขาจะจับถ่วงหม้อ ๑๔ วัน!
เหล่านี้ เป็นเรื่องดี ……
บ่งอารยะคนในชาติ วิสัยทัศน์ทะลุรากประชาธิปไตย
การรู้จักแยกแยะเรื่องราว ว่าการณ์ใด ต้องครัดเคร่ง ยึดส่วนรวมเป็นศูนย์กลาง การณ์ใด ทำแล้วไม่เดือดร้อนคนอื่น
ก็สบายๆ ตามใจคือไทยแท้
แค่นี้ มันยอดประชาธิปไตยแล้ว
แต่อย่างสหรัฐฯ อารยะหรือเถื่อนก็คิดเอา แค่หน้ากากอนามัยคนละอัน เซฟชีวิตทั้งเขา-ทั้งเราได้ทั้งประเทศ แค่นี้ยังคิดไม่เป็น ปล่อยให้ตายเป็นแสนๆ
ใครสวมหน้ากากอนามัยก็ไล่กระทืบเขา คิดเอา นี่..ต้นแบบประชาธิปไตย หรือปลายยุคมนุษย์ถ้ำ?
ตอนนี้ บ้านเรา ใครๆ เขาเที่ยวห้าง……
แต่ผมเที่ยวโรงพยาบาล เห็นแล้วไม่ว่าโรงพยาบาลไหน ผู้คนเหมือนรังมด-รังปลวก
จนต้องทำให้คิด……
เป้าหมายการสาธารณสุขประเทศเรา คืออะไร และอย่างที่เป็น บ่งถึงก้าวหน้าหรือก้าวหลัง?
ถ้าว่าก้าวหน้า…….
ก็คงก้าวเฉพาะด้านธุรกิจโรงพยาบาลและการสาธารณสุขที่มุ่งเฉพาะด้านรักษา แต่การเสริมสร้างสมดุลชีวิตด้วยสุขภาพ-อนามัย “ก้าวหลัง” ชัดเจน
คือ เน้นแก้ปลายเหตุ ปล่อยให้ประชาชนอมโรคก่อน แล้วตามรักษา
ไม่เน้นต้นเหตุ คือทำอย่างไรให้ประชาชนป่วยน้อย โดยมุ่งเน้นป้องกันโรค ด้วยเสริมสร้างสุขภาพอนามัยแต่แรกเริ่ม
สภาพจึงเป็นอย่างทุกวันนี้ ………
คนป่วยคือลูกค้าโรงพยาบาลและการสาธารณสุขใช้ตัวเลขป่วยนั้นมุ่งไปที่งบประมาณ นโยบายจึงออกลักษณะใช้คนป่วยเป็นดีมานด์ผ่านโรงพยาบาล
โรงพยาบาลจึงเหมือน “สุสานคนเศร้า”
แต่ละคนที่ไป ล้วนแต่แบกทุกข์-แบกโรคกันจนงอม ตื่นกันแต่มืด-แต่ดึก ไปรวมเป็นกองผักเหี่ยวเฉา คนละครึ่ง-ค่อนวัน ได้พบหมอซักคนละ ๕ นาที ก็เหมือนได้พบพระมาลัย!
เห็นคนเจ็บ-คนป่วยมากๆ ว่าสงสาร
แต่พอเห็นหมอ-พยาบาล-เจ้าหน้าที่ ที่ต้องดูแลคนไข้ ๑ ต่อ ๑๐๐ ขึ้นไป ต้องขยักสงสาร ปันให้หมอ-พยาบาลด้วย
เกิดชาติหน้า-ฉันใด ขออย่าได้เป็นหมอ-เป็นพยาบาลเล้ยยย เจ้าประคุณ มันโคตรเหนื่อย จะกินข้าวซักคำ ก็เห็นตาดำๆ จับเจ่า จ้องรอ
ถ้าจะเป็น ขอเป็นหมอทำสวย หรือไม่ก็ หมอผ่าตัดแปลงเพศ เพราะพวกที่มา มาแบบแฮปปี้ ตอนกลับ ยิ่งแฮปปี้ๆ
ไม่เหมือนหมอรักษาคนไข้ ….
แต่ละคนที่มา เปื่อยมา แล้วกลับไปเปื่อยต่ออีก!
เรื่องโควิด-๑๙ นี่ ต้องทำตัวเป็นคน ๒ ใจ ใจหนึ่งจำทนไปก่อน อีกใจ ทำสบายๆ ฝืนชินยุค New Normal อย่างน้อยครึ่งปี อย่างมาก เป็นปีๆ
คือ ดูแล้ว ที่ประเทศโน้นคุย-ประเทศนี้คุย ว่าพบยา พบสูตรวัคซีน เตรียมผลิต เมื่อนั่น เมื่อนี่
เอาเข้าจริง มีเนื้อซัก ๑๐ นอกนั้น น้ำซะ ๙๐!
เรื่องวัคซีน การทดลองมันเหมือนขั้นตอนปฏิบัติโรงไฟฟ้าระบบนิวเคลียร์ คือจะ “ลัดขั้นตอน” ใดๆไม่ได้เลย
ฉะนั้น เร็วที่สุด ใช้เวลาเป็นปี
ยิ่งตอนนี้ วิเคราะห์-วิจัยกันแล้ว เจ้าโควิดมันไม่ได้มีสายพันธุ์เดียว ที่พบในจีน ในยุโรป มันร้อยพ่อ-พันแม่
นั่นคือ ประเทศไหนผลิตวัคซีนออกมา ก็ต้องดู เขาใช้สารพันธุกรรมของเชื้ออะไร?
พูดถึงตรงนี้ ต้องชมประเทศเราเอง วันนี้ การรอคอยวัคซีน เป็นการรอคอยที่ไม่เลื่อนลอยแล้ว
ธงชัย สะบัดชายไหวๆ เห็นวิบๆ!
เมื่อวาน (๒๒ มิย.๖๓) ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว. กระทรวงการศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โพสต์เฟซ ถึงความก้าวหน้าการทดลองวัคซีน ว่า
วัคซีนเข็มแรก
-ลิงทุกตัวสุขภาพแข็งแรง
-ไม่มีผลข้างเคียงจากวัคซีน
-สร้างภูมิคุ้มกันได้ระดับที่น่าพอใจ
วัคซีนเข็มที่ ๒
-ฉีดในวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๓
-ในอีก ๒ สัปดาห์ คาดว่าระดับภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโรคโควิด-๑๙ เพิ่มขึ้น
วัคซีนเข็มที่ ๓
-ฉีดในเดือนกรากฏาคม ๖๓
คาดทดสอบมนุษย์ ในตุลาคม ๖๓
“วันนี้ ผมได้ร่วมแถลงข่าวผ่าน VDO Conference ถึงความคืบหน้าการทดลองทดสอบวัคซีนโควิด-19
โดยได้มอบหมายให้ นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ร่วมกับ นพ.นคร เปรมศรี ผอ.สถาบันวัคซีนแห่งชาติ
นำคณะผู้เชี่ยวชาญและสื่อมวลชน ไปติดตามความคืบหน้าของและตรวจสอบรายละเอียดของการทดสอบ เพื่อให้คำแนะนำและเตรียมรายละเอียดการดำเนินงานในขั้นต่อไปครับ
หลังจากได้ทดลองวัคซีนโควิด-19 โดยใช้สารพันธุกรรมของเชื้อ “ชนิด mRNA” ในลิง
เข็มที่หนึ่ง ที่ศูนย์วิจัยไพรเมทแห่งชาติ อ.แก่งคอย จ.สระบุรี เมื่อวันที่ 23 พ.ค.ที่ผ่านมา
เป็นวัคซีนที่พัฒนาโดยทีมนักวิจัยไทยของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยการสนับสนุนของ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และสถาบันวัคซีนแห่งชาติ
พบว่า ลิงทุกตัว มีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีผลข้างเคียงจากวัคซีน
เมื่อนักวิจัยได้ทำการเจาะเลือดของลิงมาทำการทดสอบการสร้างภูมิคุ้มกันหรือ antibody
มีข่าวดีมากที่พบว่า ……….
ลิงที่ได้รับวัคซีนสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ในระดับที่น่าพอใจ
และจะฉีดวัคซีนกระตุ้นเป็นเข็มที่สองในวันนี้ ( 22 มิ.ย 63) แล้วจะเจาะเลือดมาตรวจเป็นระยะ
คาดว่าระดับภูมิคุ้มกันต่อเชื้อก่อโรคโควิด-19 จะระดับเพิ่มขึ้นในอีกประมาณสองสัปดาห์นับจากนี้
และจะฉีดเข็มที่สามต่อไปในเดือน ส.ค.
ขณะนี้ การวิจัยและพัฒนาเป็นไปตามแผนงาน เมื่อวิเคราะห์ประเมินผลการทดสอบในลิงทั้งในด้านผลการกระตุ้นภูมิคุ้มกันและด้านความปลอดภัยเสร็จแล้ว
ก็จะเข้าสู่การทดสอบในมนุษย์ต่อไป โดย วช.ได้ตกลงให้ทุนวิจัยเพิ่มเติมอีก
เพื่อให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สามารถเริ่มสั่งผลิตวัคซีนชนิดนี้ให้พร้อมสำหรับทำการทดสอบในมนุษย์ไว้แล้ว
หากเป็นไปตามที่คาดไว้ จะทำการทดสอบในมนุษย์ได้ประมาณเดือน ต.ค. –พ.ย.ตามแผน
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มอบนโยบายเพื่อให้คนไทยสามารถมีวัคซีนอย่างรวดเร็วเป็นลำดับแรก ๆ
เมื่อสามารถพัฒนาวัคซีนได้สำเร็จ โดยมอบให้ อว. และกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกันดำเนินงานในเชิงรุก
ทั้งโดยการวิจัยและพัฒนาในประเทศ และร่วมมือกับต่างประเทศ รวมทั้งเตรียมการผลิตให้ทันท่วงทีและเพียงพอ ในขณะนี้ ยังได้เจรจาหารือกับต่างประเทศในการร่วมวิจัย ถ่ายทอดเทคโนโลยีและเตรียมการผลิตไว้ด้วยแล้วครับ
ก็เก็บมาบอกเพื่อให้มีกำลังใจ ……….
การฝืนชีวิตที่มีความหวังรออยู่ เหมือนทนหิวแลกหุ่นสลิม คุ้มค่ามิใช่หรือ?
ถ้าถึงขั้นทดลองกับคนในเดือนตุลา-พฤศจิกา หมายความว่า อย่างช้า กลางปี ๖๔ ไทยเรา “โลกอิจฉา” อีกแน่ๆ
เข็มแรก ฉีด ๓ มะกอกกับแก๊งก่อนเลย
แต่เป็นวัคซีนป้องกันโรคบ้าประชาธิปไตยลงตีนนะ!
ขอบคุณภาพ :เฟซบุ๊ก ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์