28 พ.ค. 63 เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. ตอบคำถามสื่อมวลชนผ่านโซเชียลมีเดียช่วงการแถลงข่าวของศูนย์ข่าวโควิด-19 และสรุปสาระสำคัญ ดังนี้
โฆษก ศบค. เผยขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุปของกิจกรรม/กิจการที่จะเปิดให้บริการสำหรับการผ่อนคลายมาตรการในระยะต่อไปนั้น เพราะต้องผ่านการหารือในที่ประชุม ศบค. ชุดใหญ่ ในวันที่ 29 พ.ค. นี้ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน
อย่างไรก็ตามเจ้าของกิจการที่มีความเสี่ยงสูงต้องมีแนวทางวิธีการให้ประชาชนมั่นใจในการเข้าใช้บริการ ขณะที่ประชาชนต้องยอมรับกับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นภายหลังการเข้ารับบริการด้วย โดยกิจการ/กิจกรรมที่มีแนวโน้มที่จะผ่อนคลายเพิ่มมากขึ้นได้แก่ กลุ่มห้างสรรพสินค้า กลุ่มกีฬาบางประเภท รวมถึงอาจจะมีการปรับลดเวลาเคอร์ฟิว ซึ่งผู้ประกอบการยังจำเป็นที่จะต้องลงทะเบียนแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” รวมถึงผู้ที่จะเข้าใช้บริการ ต้องให้ความร่วมมือในการใช้แอปพลิเคชันดังกล่าวด้วย
โฆษก ศบค. ยังกล่าวถึงจำนวนตัวเลขของผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ของ State Quarantine แต่ยังคงตรวจหาเชื้อเพิ่มเติมในประชาชนกลุ่มเสี่ยง/สถานที่เสี่ยงใน 4 กลุ่ม ดังนี้ 1.บุคลากรทางการแพทย์ 2. กลุ่มผู้ต้องขังแรกรับ 3. กลุ่มอาชีพพบปะผู้คนจำนวนมาก และ 4. กลุ่มอื่นๆ ตามที่คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดพิจารณา เช่น เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง บุคคลกลุ่มชุมชนแออัด บุคคลในโรงงาน บุคคลในศูนย์พักพิง เจ้าหน้าที่ในเรือนจำ บุคคลในร้านอาหารและบุคคลในโรงเรียน ซึ่งเป็นมาตรการป้องกันโรค เพิ่มการเฝ้าระวังการแพร่เชื้อโควิด-19
สำหรับคนไทยที่แจ้งความประสงค์ในการเดินทางกลับมายังประเทศผ่านทางอากาศ ในช่วงวันที่ 17 พ.ค. – 30 มิ.ย. มี 10,878 ราย ขณะที่ความสามารถในการรองรับของพื้นที่ State Quarantine ขณะนี้อยู่ที่ 400 คนต่อวัน จึงต้องจัดกำหนดเกณฑ์แบ่งเป็นกรณีด่วนที่สุดได้แก่ กลุ่มของผู้ป่วย ผู้ตกค้างในสนามบิน และวีซ่าหมดอายุ ถัดมาเป็นกลุ่มด่วนมากได้แก่ พระสงฆ์ นักเรียน/นักศึกษาและผู้ตกงาน
โดยช่วงท้ายโฆษก ศบค. ยังเน้นย้ำการใส่หน้ากากอนามัยนอกจากจะดูแลป้องกันชีวิตของตนเองและครอบครัวแล้วยังรวมไปถึงการช่วยชาติให้ปลอดภัยจากโรคโควิด-19 นี้ ได้อีกด้วย