“ของขวัญ-ของฝากวันอาทิตย์”

ของขวัญ-ของฝากวันอาทิตย์
*******************************
กันยายน เดือนสุดท้ายของไตรมาส ๓ เดือนสุดท้ายของปีคนราชการ
สังเกตระยะนี้ ผู้คนดูจะอารมณ์บ่จอยกันมาก
ถ้าถามถึงสาเหตุ ผมก็ตอบไม่ถูก หรือตอบถูก แต่ก็ไม่อยากตอบ (ซะงั้น!)
วันนี้ ผมจึงคิดว่า น่าจะหาเรื่องดีต่อใจอะไรซักเรื่องมาให้อ่านกัน ก็..สัพเพ สัตตา สุดแต่ว่าใครจะมีวาสนาในธรรมขนาดไหน ก็จะสามารถ “ตั้งจิตตรง” รับปัญหาวันนี้และที่มีมาพรุ่งนี้-ปะรืนนี้ ในความหมายคือเดือนนี้ได้ ก็จะเอกเขนกบนยอดคลื่นสบายข้ามปี
ผมอ่านเรื่อง “หลวงปู่มั่น” สอนศิษย์ที่ชื่อ “หลวงพ่อชา” เมื่อสัปดาห์ก่อน ในเฟซนี่แหละ คุณ Saengaroon Moongthong โพสต์ fb ไว้
อ่านแล้วก็ตั้งใจว่า โอกาสเหมาะวันไหนจะขอลอกต่อมาให้ท่านที่ผมห่วงใย-คิดถึงตลอดกาลตรงนี้ได้อ่านกันบ้าง
ด้วยเหตุผลเดียว…..
อ่านแล้วเข้าใจ-ไม่เข้าใจ สุดแต่ท่าน แต่แน่ๆ ที่ขอบอก
แค่มีสัมมาสติ รับรู้ในความเป็น “หลวงปู่มั่น-หลวงพ่อชา” รัศมีวงกลม “พระพุทธรักษา พระธรรมรักษา และพระสงฆ์รักษา” อยู่เหนือเศียรท่านแล้ว
พระอรหันต์ไม่เคยห่างหายจากแผ่นดินไทย ความจริงผมอ่านจากที่ต่างๆหลายครั้งแล้ว พอดีได้อ่านอีก และก็พอดีที่ผมคิดเอาเองว่า
ช่วงนี้ เราทั้งหลาย “มีพระ” ไว้ในใจบ้าง จะเป็นการดี!
ขออนุญาต คุณ Saengaroon Moongthong และขอระลึกรู้ถึงท่านผู้บันทึกเรื่องราวและรวบรวบ-เรียบเรียงเป็นเรื่องไว้แต่เบื้องปฐม

ต่อจากนี้ ขอท่านทั้งหลายอ่านด้วยสติใคร่ครวญตามเถิด
———————————
Saengaroon Moongthong

“หลวงพ่อชาเล่าว่าได้พบหลวงปู่มั่นแล้วเกิดความประทับใจและได้ฝากเป็นศิษย์หลวงปู่มั่น”

หลวงพ่อชา สุภัทโท พบท่านพระอาจารย์ใหญ่หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต และได้ฝากเป็นศิษย์ท่าน และได้แนวทางการปฏิบัติที่ถูกต้องตามธรรมวินัย ดังเรื่องราวที่หลวงปู่ชาได้เล่าถ่ายทอดให้พระเณรได้ฟังต่อไปนี้
ในระหว่างที่จำพรรษาที่วัดเขาวงกฏ หลวงพ่อชาได้ฟังเรื่องราวของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต จากโยมคนหนึ่ง ซึ่งเคยไปนมัสการหลวงปู่มั่นที่สำนักวัดป่าบ้านหนองผือ ต.นาใน อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร และได้เกิดความรู้สึกเลื่อมใสศรัทธาในองค์หลวงปู่มั่น และตั้งใจว่าจะต้องไปศึกษาแนวทางการปฏิบัติจากท่านหลวงปู่มั่น
เมื่อออกพรรษาแล้ว หลวงพ่อชาพิจารณาเห็นว่า พระถวัลย์มีความสนใจในการศึกษาตำรับตำรา จึงปรารภเรื่องวิถีชีวิตกันระหว่างเพื่อน พระถวัลย์ตกลงใจจะไปเรียนปริยัติธรรมที่กรุงเทพฯ
หลวงพ่อกับคณะพระภาคกลางรวมกันสี่รูป จึงออกเดินทางย้อนกลับมาที่อุบลราชธานี พักอยู่ที่วัดก่อนอีกระยะหนึ่ง แล้วจาริกธุดงค์มุ่งหน้าไปจังหวัดสกลนคร เพื่อไปยังเสนาสนะวัดป่าบ้านหนองผือ เพื่อรับการอบรมธรรมจากหลวงปู่มั่น
ระหว่างการเดินทางไปสำนักหลวงปู่มั่น ได้แวะสนทนาและศึกษาตามสำนักต่างๆ ที่จาริกผ่านไปเรื่อยๆ เพื่อเพิ่มพูนความรู้และประสบการณ์ และเปรียบเทียบแนวทางปฏิบัติของแต่ละสำนัก
การเดินทางครั้งนั้น ผู้ร่วมทางบางคนในคณะเกิดท้อถอย เพราะมีความเหน็ดเหนื่อยและยากลำบากมาก ต้องเดินลัดเลาะป่าเขา เดินตามทางเกวียน ประกอบกับเป็นผู้ไม่คุ้นเคยต่อการเดินทางไกลนัก
พระบางรูปจึงขอแยกทางกลับคืนถิ่นเดิม หลวงพ่อกับพระอีกสองรูปที่ไม่เลิกล้มความตั้งใจ ได้ออกเดินทางต่อ ในที่สุดก็ถึงสำนักของหลวงปู่มั่น เสนาสนะวัดป่าบ้านหนองผือ

“ก้าวแรกที่หลวงพ่อเดินเข้าไปเห็นสภาพวัดป่าบ้านหนองผือ”

ก้าวแรกที่ย่างเข้าสู่สำนักป่าบ้านหนองผือ หลวงพ่อรู้สึกประทับใจในบรรยากาศอันสงบร่มรื่นของสำนัก มองดูลานวัดสะอาดสะอ้าน กิริยามารยาทของเพื่อนบรรพชิตในวัดป่านี้เป็นที่น่าเลื่อมใส จึงเกิดความพึงพอใจยิ่งกว่าสำนักใดๆ ที่เคยเห็นเคยสัมผัสมา
ยามเย็นวันแรกที่ไปถึง ได้เข้ากราบนมัสการหลวงปู่พร้อมศิษย์ของท่านเพื่อฟังธรรมร่วมกัน หลวงปู่มั่นท่านได้ปฏิสันถาร สอบถามเกี่ยวกับอายุ พรรษา และสำนักที่เคยได้ศึกษาปฏิบัติ
#หลวงปู่มั่นล่วงรู้วาระจิตหลวงพ่อชา
แปลกมากเมื่อมาถึงวัดป่าบ้านหนองผือ หลวงปู่มั่นท่านเทศน์อบรมเรื่องนิกายธรรมยุติกับมหานิกาย บังเอิญเป็นเรื่องที่หลวงพ่อชาสงสัยมานานเกี่ยวกับเรื่องนี้
ตลอดการเดินทางมาที่นี่ หลวงพ่อชาก็ตั้งใจว่าจะเรียนถามถึงเรื่องสองนิกายนี้ แต่ยังไม่ได้ทันถามหลวงปู่มั่น ท่านก็เทศน์เรื่องสองนิกายก่อนเลย ทำให้หลวงพ่อชาขนลุกขนพองปลื้มปิติแปลกใจมาก
เพราะท่านเพียงแต่คิดในใจท่านเท่านั้นเอง หลวงปู่มั่นท่านทำไมถึงทราบได้ ทำให้หลวงพ่อชามั่นใจในคุณธรรมปฏิบัติของหลวงปู่มั่นมากเป็นลำดับ
จากนั้นท่านก็ให้โอวาทและปรารภถึงเรื่องนิกายทั้งสอง คือธรรมยุติและมหานิกาย ซึ่งเป็นเรื่องที่หลวงพ่อสงสัยอยู่มาก
หลวงปู่มั่นกล่าวว่า “การประพฤติปฏิบัตินั้น หากถือเอาพระธรรมวินัยเป็นหลักแล้ว ก็ไม่ต้องสงสัยในนิกายทั้งสอง” เมื่อคลายความสงสัยในเรื่องนิกายแล้ว หลวงพ่อได้กราบเรียนถามปัญหากับหลวงปู่มั่น
ซึ่งหลวงพ่อถ่ายทอดบทสนทนาของท่านกับหลวงปู่มั่นให้ศิษย์ฟังว่า
“เกล้ากระผมเป็นผู้ปฏิบัติใหม่… ไม่รู้จะปฏิบัติอย่างไร… มีความสงสัยมาก ยังไม่มีหลักในการปฏิบัติเลยครับ” หลวงพ่อชาถาม
“มันเป็นยังไง” หลวงปู่มั่นถาม
“ผมหาทางปฏิบัติ… ก็เลยเอาหนังสือวิสุทธิมรรคขึ้นมาอ่าน มีความรู้สึกว่า มันจะไปไม่ไหวเสียแล้ว เนื้อความในสีลานิทเทส สมาธินิทเทส ปันญญานิทเทสนั้น ดูเหมือนไม่ใช่วิสัยของ มนุษย์จะทำได้ ผมมองเห็นว่ามนุษย์ทั่วโลกนี้มันจะทำตามไม่ได้ครับ มันยาก มันลำบาก มันเหลือวิสัยจริงๆ …” หลวงพ่อชาตอบ
#หลวงปู่มั่นจึงกล่าวให้ฟังว่า…..
“ท่าน… ของนี้มันมากก็จริงอยู่ ถ้าเราจะกำหนดทุกๆ สิกขาบทในสีลานิทเทสนั้นนะมันก็ลำบาก แต่ความจริงแล้ว สีลานิทเทสก็คือสิ่งที่บรรยายออกมาจากใจของคนเรานั่นเอง ถ้าหากว่าเราอบรมจิตของเราให้มีความละอาย มีความกลัวต่อความผิดทั้งหมด เราก็จะเป็นคนที่สำรวมสังวรระวัง เพราะมีความละอายและเกรงกลัวต่อความผิด…
เมื่อเป็นอย่างนั้น ก็จะเป็นเหตุให้เราเป็นคนมักน้อย และสติก็จะกล้าขึ้น จะยืนเดิน นั่ง นอนอยู่ที่ไหน มันจะตั้งอกตั้งใจมีสติเต็มเปี่ยมเสมอ ความระวังมันก็เกิดขึ้น…
อะไรทั้งหมดที่ท่านศึกษาในหนังสือน่ะ มันขึ้นต่อจิตทั้งนั้น ถ้าท่านยังไม่อบรมจิตของท่านให้มีความรู้มีความสะอาดแล้ว ท่านจะมีความสงสัยอยู่เรื่อยไป…
ดังนั้น ท่านจงรวมธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้าไว้ที่จิต สำรวมอยู่ที่จิต อะไรที่เกิดขึ้นมา ถ้าสงสัย… ถ้ายังไม่รู้แจ้งแล้วอย่าไปทำ… อย่าไปพูด… อย่าไปละเมิดมัน” หลวงปู่มั่นแนะนำ
คืนนั้น..
หลวงพ่อนั่งฟังธรรมร่วมกับศิษย์ของหลวงปู่มั่น เช่นหลวงปู่ขาว หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่มหาบัว หลวงปู่ผาง หลวงปู่แหวน จนกระทั่งถึงเที่ยงคืน จิตใจเกิดความสงบระงับเป็นสมาธิ ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากการเดินทางได้อันตรธานไปสิ้น…

คืนที่สอง…
หลวงปู่มั่นได้แสดงปกิณกธรรมต่างๆ ให้ฟังอย่างละเอียดลึกซึ้ง จนหลวงพ่อคลายความลังเลสงสัยในวิถีทางการปฏิบัติ มีความปลาบปลื้มปิติในธรรมอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ในวันที่สาม หลวงพ่อได้กราบลาหลวงปู่มั่น แล้วเดินธุดงค์ลงมาทาง อ.นาแก จ.นครพนม
จากการได้พบหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ที่วัดป่าบ้านหนองผือ เป็นประสบการณ์สำคัญที่นำวิถีชีวิตของหลวงพ่อชาเข้าสู่กระแสธรรมปฏิบัติอย่างถูกต้องและมั่นคง หลวงพ่อเล่าถึงบรรยากาศของการได้ สัมผัสหลวงปู่มั่น และสำนักป่าบ้านหนองผือแก่พระเณรในเวลาต่อมาว่า…
“…ที่ผมได้ความรู้ความฉลาด จนได้มาแบ่งปันพวกท่านทั้งหลายนั้น ก็เพราะผมได้ ไปกราบครูบาอาจารย์มั่น… ไปพบท่าน แล้วก็เห็นสภาพวัดวาอารามของท่าน ถึงจะไม่สวยงาม แต่ก็ สะอาดมาก พระเณรตั้งห้าสิบหกสิบขณะฟังการอบรมธรรมจากหลวงปู่มั่น ทุกรูป เงียบกริบ!
ไม่มีการไอการจาม นั่งโยกเยกไม่มีเลย ขนาดจะถากแก่นขนุน ก็ยังแบกเอาไปฟันอยู่โน้น.. ไกลๆ โน้น เพราะกลัวว่าจะ ก่อกวนความสงบของหมู่เพื่อน…
พระเณรที่นั่นพอตักน้ำทำกิจอะไรเสร็จ ก็เข้าทางจงกรม ของใครของมัน ไม่ได้ยินเสียงคุยกันอะไร อะไร นอกจากเสียงเท้าที่เดินเท่านั้นแหละ
บางวันประมาณหนึ่งทุ่ม เราก็เข้าไปกราบท่านหลวงปู่มั่นเพื่อฟังธรรม ได้เวลาพอสมควรประมาณสี่ทุ่มหรือห้าทุ่มก็กลับกุฏิ เอาธรรมะที่ได้ฟังไปวิจัย… ไปพิจารณาปฏิบัติดู
เมื่อได้ฟังเทศน์ท่านหลวงปู่มั่นแล้ว ไม่รู้เป็นไง มันอิ่มใจ เดินจงกรมทำสมาธินี่… มันไม่เหน็ดไม่เหนื่อย มันมีกำลังมาก ออกจากที่ประชุมกันแล้วก็เงียบ !
บางครั้งอยู่ใกล้ๆ กัน เพื่อนเขาเดิน จงกรมอยู่ตลอดคืนตลอดวัน จนได้ย่องไปดูว่าใคร ท่านผู้นั้นเป็นใคร ทำไมถึงเดิน ไม่หยุดไม่พัก นั่น… เพราะจิตใจมันมีกำลัง…”

นี่แหละการได้อยู่ศึกษากับพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่ท่านมีคุณธรรมสามารถบอกสอนอบรมแนะนำให้เราปฏิบัติถูกทางตามอรรถตามธรรมเมื่อมรรคผลนิพพาน
หลังจากกราบลาท่านหลวงปู่มั่นออกจากสำนักหลวงปู่มั่น ที่วัดป่าบ้านหนองผือแล้ว หลวงพ่อกับคณะเดินธุดงค์รอนแรมพักภาวนา ตามป่าเขามาเรื่อยๆ ตามคำแนะนำของหลวงปู่มั่น
ในขณะนั้น ไม่ว่าจะเดินจงกรม หรือนั่งสมาธิอยู่ที่ใดก็ตามจิตของหลวงพ่อ มีความรู้สึกราวกับว่า หลวงปู่มั่นคอยติดตามให้คำแนะนำตักเตือนอยู่ตลอดเวลา… เพื่อมิให้ประมาทในธรรมปฏิบัติ
..หลวงปู่มั่นแนะนำให้หลวงพ่อชาไปฝึกกรรมฐานพิจารณาอสุภะที่ป่าช้าเพื่อขจัดกิเลสในจิตของตน..
หลวงพ่อเกิดความสนใจ ใคร่จะศึกษาดูว่า การอยู่ป่าช้าจะช่วยขัดเกลากิเลสได้อย่างไร หลวงพ่อเล่าถึงประสบการณ์ที่ป่าช้าในครั้งนั้นว่า…
” …วันนั้นตอนบ่ายๆ ตั้งใจว่าคืนนี้จะไปภาวนาในป่าช้า พอจะไปจริงๆ ใจชักไม่อยากไปซะแล้ว ก็บังคับมัน คิดว่าถ้าจะตายก็ยอมตายเพราะมันลำบากนัก มันโง่นัก พูดในใจ อย่างนี้… พอไปถึงป่าช้า ปะขาวแก้วจะมาพักใกล้ๆ ก็ไม่ยอม ให้ไปอยู่ไกล ๆ โน่น
ความจริงแล้ว อยากให้มาอยู่ใกล้ ๆ เป็นเพื่อนกัน แต่ไม่เอาเดี๋ยวตัวเองจะอาศัยเขา กลัวนักก็ให้มันตายเสียในคืนนี้ พอค่ำลง เขาหามศพมาฝังพอดี ทำไมถึงเหมาะเจาะอย่างนี้.. คิดอยากจะหนี.. เขานิมนต์ให้สวดมาติกาก็ไม่เอา เดินหนีไป… มันกลัว… เดินก็แทบไม่รู้สึกว่าเท้าแตะดิน
สักพักก็เดินกลับมา เขาเอาศพฝังไว้ใกล้ๆ แล้วยังเอาไม้ไผ่ที่หามศพมาทำเป็นร้านให้นั่ง… จะทำอย่างไรดี… หมู่บ้านกับป่าช้าก็ไม่ใช่ใกล้ๆ กัน ห่างกันตั้งสองสามกิโล
พอตะวันตกดิน ใจหนึ่งก็บอกให้เข้าไปอยู่แต่ในกลดท่าเดียว จะเดินไปหาหลุมศพ ก็เหมือนมีอะไรมาดึงขาเอาไว้ ความรู้สึกกลัวกลับกล้ามันฉุดรั้งกันอยู่
พอมืดสนิทจริงๆ ก็มุดเข้ากลดทันที รู้สึกเหมือนมีกำแพงเจ็ดชั้น เห็นบาตรตั้งอยู่ข้างๆ ก็รู้สึกดีใจ ได้อาศัยบาตรเป็นเพื่อน นั่งอยู่ในกลดทั้งคืน ไม่ได้หลับไม่ได้นอนเลย นั่งเงียบอยู่ จะง่วงก็ไม่ง่วง มันกลัว ทั้งกลัวทั้งกล้า นั่งอยู่อย่างนั้นตลอดทั้งคืนเลย
พอสว่างขึ้น ก็รู้สึกว่า เรารอดตายแล้ว ดีใจจริงๆ ภายในใจเราอยากให้มีแต่กลางวันเท่านั้น ไม่อยากให้มีเวลากลางคืนเลย อยากฆ่ากลางคืนทิ้ง มันจะได้มีแต่กลางวัน…
ตอนเช้า ไปบิณฑบาตคนเดียว หมาวิ่งตามหลังมาจะกัด แต่ก็ไม่ไล่ จะกัดก็กัดไปเลย ให้มันกัดให้ตายซะ หมาก็งับผิดงับถูก โยมชาวภูไท ไม่รู้จักไล่หมา เขาว่าผีมันมากับพระ หมาจึงได้เห่าได้กัด เขาจึงไม่ไล่มัน ช่างมัน !
เมื่อคืนนี้ ก็กลัวจนเกือบตายทีหนึ่งแล้ว ตอนเช้านี้หมาจะกัด ก็เลยปล่อยให้มันกัดซะ ถ้าหากว่าแต่ก่อนเราเคยกัดมัน ก็ปล่อยให้มันกัดคืนซะ แต่มันก็งับผิดงับถูกอยู่อย่างนั้น บิณฑบาตกลับก็ฉัน พอฉันเสร็จ แดดออกมาบ้างรู้สึกอบอุ่นได้เดินจงกรม และพักผ่อนเอาแรงบ้าง คืนนี้จะได้ภาวนาให้เต็มที่ คงไม่มีอะไรน่ากลัว เพราะได้ทดลองมาคืนหนึ่งแล้ว
พอบ่ายๆ ชาวบ้านหามศพมาอีกแล้ว เป็นผู้ใหญ่เสียด้วย เขาเอามาเผาไว้ใกล้ๆ ด้านหน้ากลด แล้วก็กลับบ้านกันหมด
ช่วงหัวค่ำศพที่ถูกเผามีกลิ่นเหม็นตลบอบอวล จะเดินจงกรม ไปข้างหน้าก็ก้าวไม่ออก ที่สุดเลยเข้าไปในกลด… นั่งหันหลังให้กองไฟ ไม่คิดอยากนอนเลย ตาตื่นแข็งอยู่อย่างนั้น ตกดึกประมาณสี่ทุ่ม มีเสียงอยู่ข้างหลังในกองไฟ ดังเหมือนตกลงมา หรือหมาจิ้งจอกมากินซากศพ แต่ฟังอีกที เหมือนเสียงควายดังครืดคราดๆ …
พอสักพัก มีเสียงเหมือนคนเดินเข้ามาหาทางด้านหลัง เดินหนักเหมือนควาย แต่ไม่ใช่… แต่จะเข้ามาก็ไม่เข้า เดินโครมๆ ออกไปทางปะขาวแก้ว นานประมาณครึ่งชั่วโมง เดินกลับมาอีกแล้ว เหมือนคนเดินจริงๆ ตรงดิ่งเข้ามาเหมือน จะเหยียบเราอย่างนั้นแหละ…
หลับตาสนิทไม่ยอมลืมตา ให้มันตายทั้งหลับตานี่แหละ มันมาถึงใกล้ๆ หยุดกึก ! ยืนนิ่งอยู่เงียบๆ ข้างหน้ากลด รู้สึกเหมือนกับว่า มันเอามือที่ถูกไฟไหม้คว้าไปมาอยู่ข้างหน้า…
ตายคราวนี้ละ ! พุทโธ ธัมโม สังโฆ ลืมหมด มีแต่ความกลัวอย่างเดียว เต็มแน่นเอี๊ยดอยู่ในใจ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีความกลัวเหมือนครั้งนี้เลย
มันกลัวมาก เปรียบเหมือนกับน้ำที่เราเทใส่ในโอ่ง เทใส่มากจนเต็มมันก็ล้นออกมา ความกลัวเหมือนกัน มันกลัวมากจน หมดกลัว แล้วก็ล้นออกมา…
ใจหนึ่งเลยถามว่า… ที่กลัวมากกลัวมายนัก มันกลัวอะไร ?
กลัวตาย อีกใจหนึ่งตอบ
แล้วความตายมันอยู่ที่ไหน… ทำไมกลัวเกินบ้านเมืองเขานัก… หาที่ตายดูซิ มันอยู่ไหน ความตายอยู่กับตัวเอง อยู่กับตัวเอง แล้วจะหนีไปไหนจึงจะพ้นมันล่ะ… วิ่งหนี ก็ตาย… นั่งอยู่ก็ตาย เพราะมันอยู่กับเราไปไหนมันก็ไปด้วย เพราะความตายมันอยู่กับเรา.. กลัวหรือไม่กลัว.. ก็ตายเหมือนกัน หนีมันไม่ได้หรอก…
พอคิดได้อย่างนี้เท่านั้น สัญญาพลิกกลับ… ความคิดก็เปลี่ยนขึ้นมาทันที
ความกลัวทั้งหลายเลยหายไปปานพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ อัศจรรย์เหลือเกิน ความกลัวมาก ๆ มันหายไปได้ ความไม่กลัวมันกลับมาแทนในที่เดียวกันนี้
โอ… ใจมันสูงขึ้น… สูงขึ้นเหมือน อยู่บนฟ้านะ… เปรียบไม่ถูก พอเอาชนะความกลัวได้แล้ว ฝนเริ่มตกทันทีเลย ลมพัดแรงมาก แต่ก็ไม่กลัวตายแล้ว ไม่กลัวต้นไม้กิ่งไม้มันจะหักลงมาทับ ไม่สนใจมันเลย…
ฝนตกลงมาหนักเหมือนฝนเดือนสี่ พอฝนหยุด… เปียกหมดทั้งตัว นั่งนิ่งไม่กระดิกเลย… ร้องไห้…
นั่งร้องไห้น้ำตาไหลอาบแก้มลงมาเพราะเกิดนึกไปว่า ตัวเรานี่ทำไมเหมือนคนไม่มีพ่อมีแม่แท้ มานั่งตากฝนยังกับคนไม่มีอะไร ยังกับคนสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง คนที่เขามีบ้านอยู่ดีๆ เขาคงจะไม่คิดหรอกว่าจะมีพระมานั่งตากฝนอยู่ทั้งคืนอย่างนี้ เขาคงจะนอนห่มผ้าสบาย
คิดไป วิตกไป เลยสังเวชชีวิตของตน ร้องไห้น้ำตาไหลพรากๆ
เอ้า… น้ำไม่ดีนี่ ให้มันไหลออกมาให้หมด… อย่าให้มันมีอยู่
เมื่อคิดได้อย่างนี้… เมื่อชนะความรู้สึกแล้ว ก็นั่งดูจิตดูใจอยู่อย่างนั้น ความรู้เห็นสารพัดเรื่องเกิดขึ้นมา… พรรณนาไม่ได้ คิดถึงพระพุทธเจ้า ท่านตรัสไว้ว่า ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ วิญญูชนพึงรู้ได้เฉพาะตน…
ความทุกข์ที่นั่งตากฝน…ความกลัวที่มันหายไป ความรู้สึกต่อมาเป็นอย่างไร ก็รู้แต่เฉพาะเราเอง ใครอื่นจะมารู้ด้วย…
นั่งพิจารณาอยู่อย่างนี้จนสว่าง จิตมีกำลังศรัทธาขึ้น ส่วางขึ้นมา ลืมตาครั้งแรก มองไปทางไหนเหลืองไปหมด ลุกไปปัสสาวะ เพราะมันปวดตั้งแต่เมื่อคืน ปวดจนหายปวดไปเฉยๆ …
ปัสสาวะออกมามีแต่เลือด รู้สึกตกใจเล็กน้อย คิดว่าไส้หรืออะไรข้างในคงขาดหมดแล้ว… ขาดก็ขาด… ตายก็ตายไปซิ… ตายเพราะการปฏิบัติอย่างนี้ก็พอใจตาย
แต่ตายเพราะไปทำความชั่วซิไม่ค่อยดี ตายเพราะปฏิบัติ แบบนี้ตายก็ตาย…
ในใจมันแย้งกันอยู่อย่างนี้ ใจหนึ่งมันเบียดเข้ามาว่าเป็นอันตราย อีกใจหนึ่งมันสู้ มันค้าน และตัดขึ้นมาทันที
คืนนั้น ฝนตกทั้งคืน วันรุ่งขึ้น จับไข้สั่นไปทั้งตัว แต่ก็อดทนออกไป บิณฑบาตในหมู่บ้าน บิณฑบาตก็ได้แต่ข้าวเปล่าๆ …”
หลังคืนสยองผ่านไป โดยมิรู้ว่าอาคันตุกะลึกลับผู้นั้นคือใคร เหตุใดจึงมาเยี่ยมเยือนด้วยอาการดุร้ายน่ากลัวเช่นนั้น… หลวงพ่อไม่กล่าวถึงมัน ท่านกลับเน้นให้ศิษย์มองเห็นคุณค่าของการต่อสู้ให้ถึงที่สุด… สู้ชนิดเอาชีวิตเข้าแลก แล้วปัญญาความรู้แจ้งเห็นจริงจะเกิดขึ้นตรงนั้น ดังคำที่หลวงพ่อมักใช้ปลุกใจลูกศิษย์ว่า ไม่ดีก็ให้มันตาย… ไม่ตายก็ให้มันดี !
เมื่อหลวงพ่อพักบำเพ็ญภาวนาอยู่ที่ป่าช้าได้เจ็ดวัน ก็มีอาการป่วยหนัก จึงออกมาพักรักษาตัวที่สำนักท่านอาจารย์คำดี
พักอยู่ประมาณสิบวัน อาการก็ทุเลาลง แม้ร่างกายอ่อนล้าเพราะพิษไข้ แต่จิตใจกลับกล้าแกร่งองอาจยิ่งนัก เพราะได้ฝ่าฟันอุปสรรคคือ ความกลัวตายในคืนนั้นได้ด้วยความอดทนและภูมิปัญญา
หลังจากอาการไข้สร่างซาลง มีพละกำลังกลับคืนมา ก็กราบลาท่านอาจารย์คำดี เดินทางมาพักอยู่ในป่าใกล้บ้านต้อง อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม
พักอยู่ที่นั่นหลายวัน อาการไข้หายเป็นปกติ แต่อาการไข้ใจจากไฟราคะที่ถูกควบคุมความร้อนแรงไว้ด้วยการหลีกเร้นและภาวนา กลับถูกจุดให้ลุกโชนขึ้นอีกครั้ง
โดยม่ายสาวผู้รวยรูปลักษณ์และทรัพย์สิน นางมาถวายอาหารและพูดคุยด้วยทุกวัน จนจิตใจหลวงพ่อหวั่นไหวไปตามแรงจริตที่นางแสดงออก ซึ่งส่อถึงความรู้สึกอันพิเศษ เกินขอบเขตที่อุบาสิกาจะพึงมีต่อพระ…
หลวงพ่อชั่งใจว่า จะเอาอย่างไรดีอยู่หลายวัน กระทั่งคืนหนึ่งขณะนั่งภาวนาพิจารณาไป สังเกตเห็นใจตัวเองเอนเอียงไปทางนางมากขึ้นทุกที
จึงตัดสินใจลุกขึ้นเก็บบริขารในกลางดึกของคืนนั้น แล้วเดินไปปลุกปะขาวแก้ว ซึ้งกำลังหลับสบายอยู่ในกลด
ปะขาวแก้วสะดุ้งตื่น ลุกขยี้ตา ถามอย่างงัวเงียว่า
“ไปพรุ่งนี้ไม่ได้หรือครับ”
“ไม่ ! จะไปเดี๋ยวนี้แหละ”
หลวงพ่อตอบอย่างเด็ดขาด เพราะตรึกตรองดีแล้วว่า ถ้าไม่หนีคืนนี้ คงจะเสียทีแก่นางแน่
หลายปีต่อมา หลังจากหลวงพ่อมาอยู่วัดหนองป่าพงแล้ว ครั้งหนึ่งท่านได้เยี่ยมลูกศิษย์ที่สำนักสาขาแถวบ้านต้อง ระหว่างพูดคุยอย่างเป็นกันเองกับญาติโยม ท่านปรารภถึงความหลัง และพูดถึงการปฏิบัติของตัวเองในสมัยก่อนอย่างขำๆ ว่า…
“การปฏิบัติของอาตมามันยากหลายแนว แต่แนวที่มันยากนำอีหลีก็เรื่องแม่ออก (เรื่องผู้หญิง) นี่ล่ะ”
คืนหนึ่ง ในพรรษานั้น หลังทำความเพียรเป็นเวลาพอสมควร หลวงพ่อได้ขึ้นไปพักผ่อนบนกุฏิ กำหนดสติเอนกายลงนอน พอเคลิ้มไปเกิดนิมิตเห็นหลวงปู่มั่น เดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ใกล้ๆ แล้วส่งลูกแก้วให้ลูกหนึ่ง พร้อมกับกล่าวว่า… “ชา… เราขอมอบลูกแก้วนี้แก่ท่าน มันมีรัศมี สว่างไสวมากนะ”
ในนิมิตนั้น ปรากฏว่าตนได้ลุกขึ้นนั่ง พร้อมกับยื่นมือไปรับลูกแก้วจากหลวงปู่มั่นมากำไว้ พอรู้สึกตัวตื่นขึ้นแปลกใจมาก ที่พบตัวเองนั่งกำมืออยู่ดังในความฝัน จิตใจเกิดความสงบระงับผ่องใส พิจารณาสิ่งใดไม่ติดขัด มีความปลื้มปิติตลอดพรรษา
หลวงพ่อกล่าวว่าหลวงปู่มั่น ท่านเป็นพระอริยเจ้าชั้นสูงมีภูมิจิตภูมิธรรมท่านสูง สามารถสั่งสอนศิษย์ทุกรูปทุกองค์ให้เข้านิพพานได้ ด้วยบารมีสติปัญญาท่านเฉียบแหลมคมยิ่งนักยากที่จะหาท่านผู้ใดเสมอเหมือนในปัจจุบัน
******************************************
เทิดไว้เหนือเศียรเกล้า ด้วยเกล้า สาธุ
******************************************
ขออนุญาตนำมาเผยแผ่เป็นธรรมทานแก่ผู้ที่
มีความศรัทธา.
ครับ…นี่คือ”ของขวัญ-ของฝาก”จากผมในวันอาทิตย์นี้ ก็ตีโจทย์ธรรมนำชีวิตกันเอาเถิด.

เปลว สีเงิน
๑ กันยายน ๒๕๖๒

Written By
More from plew
เข้าใจ “ไม่ใช่ยอมแพ้” – เปลว สีเงิน
เปลว สีเงิน “โรค” มันจะไม่หายไหน…. มันไม่ใช่เพิ่งมาอยู่กับเรา ความจริงนั้น “เราอยู่กับมัน-มันอยู่กับเรา” มาตลอด “โรคคู่คน-คนคู่โรค” มันเป็นความจริงที่ไม่มีใครอยากยอมรับ ใครจะรับ-ไม่รับ ก็ช่าง...
Read More
0 replies on ““ของขวัญ-ของฝากวันอาทิตย์””