สันต์ สะตอแมน
สส.จังหวัดสงขลา มี 9 คน 9 เขต..
พรรคประชาธิปัตย์ยึดไป 6 เขต 6 คน ที่เหลือพรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคพลังประชารัฐ พรรคภูมิใจไทย แบ่งกันไปเขตละคน
และเลือกตั้งคราวหน้า ข่าวว่าพรรคประชาธิปัตย์ต้องการจะเพิ่ม สส.ให้ครบทุกเขต แต่ในขณะเดียวกันพรรคภูมิใจไทยก็ดูมั่นอก-มั่นใจจะคว้าชัยมาได้อีก 2-3 เขต
ด้านพรรคกล้าธรรม ที่แม้ตอนนี้จะยังไม่มีสส.สักคน-สักเขต แต่ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า ก็คุยฟุ้งลั่น เลือกตั้งหนหน้าต้องมี สส.ให้ได้ 2-3 เขตเช่นกัน!
นี่..แต่ละพรรคดูจะหมายมั่นปั้นมือ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะมี “นโยบาย” แบบไหน-อย่างไรในการหาเสียงที่จะสามารถกระชากคะแนนนิยมได้
โดยเฉพาะกับ “มหาอุทกภัย” ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า และสร้างความหายนะให้กับพ่อแม่พี่น้องชาว จ.สงขลา ณ ขณะนี้ จะมีวิธีป้องกันแบบมั่นคง-ถาวรได้อย่างไร?
ก็..เห็นจะเป็น “การบ้าน” ข้อหลัก-ข้อใหญ่ ที่ต้องคิดคิดคิดเสียแต่นาทีนี้ ไม่ใช่คิดแต่เพียง “ตัวเลข” 1 พัน 2 พัน หรือ 3 พัน อย่างที่กำลังวางแผนกันอยู่!
เงินน่ะ ซื้อเสียงได้ผมไม่ขัด-ไม่เถียง แต่ด้วยเหตุการณ์ “หาดใหญ่วิปโยค” คราวนี้ ผมเชื่อว่าพ่อแม่พี่น้องชาวใต้น่าจะได้เกิดความรู้สึก ฉุกคิด เปลี่ยนทัศนคติขึ้นมาได้บ้างไม่มากก็น้อย..
จะเลือก สส.เป็นตัวแทนเข้าไปเป็นปากเป็นเสียงในสภา หรือว่าจะเลือกเพื่อตอบแทนกับเงินแค่ไม่กี่ร้อยกี่พันบาทที่เขายื่นให้!
หรือหากยังทนต่อไปได้กับสภาพ-เหตุการณ์ที่ (ซ้ำซาก) เป็นอยู่นี้ ยินดีที่จะแบมือแลกคะแนนเสียงต่อไปก็ไม่ว่ากระไรกัน!
ครับ..ฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์-คำเสนอแนะ-คำก่นด่าจากบรรดากูรู-ผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำ (จริงบ้าง-ปลอมบ้าง) มามากแล้ว
วันนี้ลองอ่านที่ ผศ.ดร.กานต์รวี วิชัยปะ อาจารย์ภาควิชารัฐศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดสาธารณภัย
ได้ให้สัมภาษณ์กับบีบีซีไทยเมื่อวันที่ 24 พ.ย. (ขออนุญาตคัดลอกเฉพาะบางท่อน) ดูบ้างว่า.. “ภัยพิบัติน้ำท่วมครั้งนี้ ไม่ได้เกิดจากพายุหมุนเขตร้อนเหมือนอย่างเคย
แต่มีปัจจัยที่ซับซ้อนและรุนแรงกว่าที่คาดว่าจะเป็น จากฝนที่ตกจากหย่อมความกดอากาศมวลใหญ่ที่แช่นานจนเกิดสภาพฝนที่เรียกว่า ‘เรนบอมบ์’ (rain bomb)
นี่ไม่ใช่ ‘ฝนแบบเดิม’ ที่เป็นสาเหตุทำให้น้ำท่วมหาดใหญ่ในอดีต ที่การเตือนภัยและการเตรียมความพร้อมจากเส้นทางอุทกภัยแบบเดิม
กว่าน้ำจะถึงตัวเมืองหาดใหญ่จะใช้เวลาประมาณ 2-3 วัน ซึ่งทำให้สามารถติดตามระบบจัดการน้ำได้ แต่ครั้งนี้เป็นรูปแบบของฝนและน้ำที่หาดใหญ่ไม่เคยเผชิญมาก่อน
เป็นมวลน้ำที่ไหลจากพื้นที่ อ.นาหม่อม และเขาคอหงส์ ‘ไหลลงสู่แอ่งกระทะลงมาสู่ใจกลางเมืองหาดใหญ่โดยตรง’ ทำให้เหลือเวลาไม่มากในการเตรียมอพยพ..
หาดใหญ่จริงๆ เป็นเมืองที่พร้อมรับมือ เป็นเมืองที่มีความสามารถในการปรับตัวสูงสุดในประเทศไทยเลยก็ว่าได้ จากการมีระบบป้องกันน้ำท่วมที่ถูกพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง
แล้วเคยพิสูจน์มาตั้งแต่ปี 2565 ว่าน้ำมายังไงหาดใหญ่ก็เอาอยู่… แต่ปีนี้เป็นวิกฤตที่คาดไม่ถึง แล้วมันใหญ่ไป เลยทำให้ไม่สามารถจัดการได้ คือภัยครั้งนี้ใหญ่เกินที่หาดใหญ่จะรับไหว
แม้มีการแจ้งเตือนจากระบบเซลล์บรอดคาสต์ (cell broadcast) จากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ราว 7-8 ครั้ง แต่มีข้อสังเกตว่า ข้อความเตือนภัย
เตือนว่าเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำ จึงอาจทำให้ประชาชนคิดว่าไม่ใช่พายุ จึงประเมินความเสี่ยงต่ำ อีกทั้งความยาวของข้อความเตือนภัยอาจส่งผลต่อการสื่อสารได้เช่นกัน
ระบบเซลล์บรอดคาสต์ที่ยังไม่ 100% อาจต้องคุยกันว่าจะมีมาตรฐานการเตือนภัยอย่างไรเพื่อให้คนตระหนักว่า ฉันต้องอพยพแล้ว
การอพยพที่ล้มเหลวส่วนหนึ่งมีปัจจัยด้านสังคมด้วย..พอเมืองหาดใหญ่มีความสามารถในการรับมือเพิ่มขึ้น คนที่อยู่อาศัยไม่คิดว่าจะเอาไม่อยู่
ความเชื่อมั่นและความปลอดภัยต่อสิ่งที่เป็นจุดแข็งของหาดใหญ่ ตอนนี้จึงกลายเป็นกับดัก”
ครับ..กับดักที่ทำให้หลายครอบครัวต้องจมน้ำอยู่ในตอนนี้!.

