24 พฤศจิกายน นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ได้สั่งยกเลิกบันทึกความเข้าใจหรือ MOU ระหว่างกระทรวงดีอี กับ บริษัท ไพรม์ ออพพอร์ทูนิตี้ ฟันด์ วิซีซี (Prime Opportunity Fund VCC) จากสิงคโปร์ เนื่องจากพบข้อพิรุธและปัญหาหลายประการ รวมถึงความไม่โปร่งใสในกระบวนการจัดทำและการนำไปใช้ประโยชน์ที่อาจนำไปสู่ความเสียหาย
นายไชยชนก กล่าวถึงความเป็นมา MOU ก่อนที่จะมีการยกเลิกว่า MOU เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2567 โดยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี ส่งเอกสารแนบ MOU ไปยังกรมการต่างประเทศของกระทรวงดีอี ซึ่งเอกสารนี้เป็นเอกสารเดียวกับที่สื่อมวลชนได้เห็น เหมือนกับที่สำนักข่าวแห่งหนึ่งได้ลง แต่มีจุดแตกต่างคือตำแหน่งของผู้ลงนามในนามในฝั่งบริษัท ไพรม์ ออพพอร์ทูนิตี้ ฟันด์ ที่ระบุว่าเป็น “Chief Officer ของบริษัท CAI สิงคโปร์” แทนที่จะเป็นตำแหน่งในบริษัทไพรม์ ออพพอร์ทูนิตี้
ต่อมาวันที่ 26 มีนาคม 2567 เอกสารถูกส่งไปยัง 3 หน่วยงานเพื่อขอความเห็น ได้แก่ กระทรวงการต่างประเทศ, สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานอัยการสูงสุดในวันเดียวกัน คณะกรรมการกฤษฎีกา และกระทรวงการต่างประเทศตอบกลับมาว่า MOU นี้อยู่ภายใต้กฎหมายไทย ไม่ใช่สนธิสัญญาระหว่างประเทศ จึงไม่จำเป็นต้องเสนอ ครม.
พอถึงวันที่ 27 มีนาคม อัยการสูงสุดตอบกลับโดยแนะนำให้ปฏิบัติตามมติ ครม. ที่ นร 0504 /วร 173 ลงวันที่ 26สิงหาคม2547 และนร 0505/ว 66 ลงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2567เกี่ยวกับการทำสัญญาระหว่างประเทศ และแสดงความกังวลเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา (IP) ที่ระบุว่าจะเป็นของนักพัฒนา 100% ไม่เกี่ยวข้องกับฝ่ายไทย
นายไชยชนก กล่าวต่อไปถึงข้อปัญหาของ MOU ว่า MOU นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดตั้ง ศูนย์กลางธุรกิจดิจิทัล และการเงินของประเทศไทยหรือ Thailand International Digital Business and Finance Center” (TIDC) ในรูปแบบของกฎบังคับพิเศษที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวง DE หรือที่เรียกว่า “digital economy regulatory sandbox” (DERS) Digital Economy Regulatory Sandbox (DERS)
อย่างไรก็ตาม ยังไม่พบกฎหมายหรือกฎระเบียบใดๆ ที่จะกำกับการขับเคลื่อนธุรกิจพิเศษภายใต้ DERS นี้ อีกทั้ง MOU มีการระบุถึงการพนันกีฬาออนไลน์หรือ “Sport Rating Online Gaming” ซึ่งเกี่ยวข้องกับการพนันที่ผิดกฎหมายในประเทศไทย และไม่ผ่านการพิจารณาจากกระทรวงมหาดไทย หรือฝ่ายกฎหมายของกระทรวงดีอี อีกทั้ง MOU ไม่มีผลบังคับทางกฎหมาย ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าสงสัย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี กล่าวต่อไปว่าในวันที่ 5 เมษายน 2567 มีการตั้งคณะทำงานขับเคลื่อน MOU โครงการการ Sandbox นี้ ต่อมา วันที่ 13 พฤษภาคม 2567 บริษัท TIDC ที่ถูกก่อตั้งขึ้นและมีบริษัทที่ปรึกษาคือบริษัท Prime Street Group (ไพรส์ สตรีทกรุ๊ป) ได้เสนอขอขยายขอบเขต MOU ให้ครอบคลุมบริการทางการเงินหลายประเภท เช่น Forex Futures, CFD, OTC Derivatives, NDFs, Spot Foreign Exchange และ Derivatives หรือตราสารอนุพันธ์ ซึ่งได้รับความเห็นว่า MOU เดิมเปิดกว้างอยู่แล้ว แต่ขอให้ประสานงานกับหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง
วันที่ 28 ตุลาคม 2567 บริษัทที่ปรึกษาของ TIDC ได้ติดต่อกระทรวงเพื่อขอประชาสัมพันธ์และใช้โลโก้กระทรวงบนเว็บไซต์ พอถึงวันที่ 30 ตุลาคม 2567 มีการโปรโมท และใช้โลโก้บนเว็บไซต์ TIDC
นายไชยชนก กล่าวต่อไปว่ายืนยันว่าการทำงานของตนและหน่วยงานส่วนใหญ่ในกระทรวงไม่ทราบเรื่อง MOU นี้มาก่อน เนื่องจากไม่เข้าข่ายต้องนำเสนอ ครม. และส่วนตัวได้สั่งยกเลิก MOU ดังกล่าวแล้ว พร้อมเวียนเอกสารแจ้งเตือนทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องให้รัฐทราบแล้ว
โดยตอนนี้ทางกระทรวงกำลังตรวจสอบสัญญาอื่นๆ ระหว่าง บริษัทไพรม์ ออพพอร์ทูนิตี้ กับหน่วยงานต่างๆ ซึ่งเบื้องต้นพบว่าคณะทำงานที่จัดตั้งขึ้นเพื่อขับเคลื่อน MOU แทบไม่มีการประชุมใดๆ เลย อย่างไรก็ตามตอนนี้กำลังตรวจสอบกรณีการดำเนินงานกับบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT เนื่องจากโลโก้ถูกโปรโมทบนเว็บไซต์ ก็พบข้อมูลเพิ่มเติมว่ามีการประชุมเพียงหนึ่งครั้งเท่านั้นในเรื่อง MOU นี้ ซึ่งส่วนตัวได้ขอข้อมูลเพิ่มเติมจาก NT และกำลังเร่งรวบรวมรายละเอียดที่เกี่ยวข้อง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอีกล่าวอีกว่าจากการตรวจสอบเบื้องต้นยังไม่พบว่ามีข้อมูลบุคลากรไอที 500 คนที่ใช้ MOU เพื่อขอวีซ่าตามที่เป็นปรากฎเป็นข่าว แต่กำลังตรวจสอบกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.), กระทรวงมหาดไทย, กระทรวงแรงงาน และสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพิ่มเติมอยู่
นายไชยชนกกล่าวอีกว่าสำหรับการตรวจสอบที่เกี่ยวข้องกับ MOU ฉบับนี้นั้น เรื่องนี้จะถูกส่งไปให้ตรวจสอบกับทางคณะทำงานตามมาตรา 13, ส่งต่อให้ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI),สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อตรวจสอบรายละเอียดและดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
เมื่อถามถึงการทำ MOU ดังกล่าวว่ามีความเกี่ยวข้องกับบุคคลอื่นๆทีถูกสหรัฐอเมริกาคว่ำบาตรฐานเกี่ยวข้องกับสแกมเมอร์หรือไม่ นายไชยชนกกล่าวว่า มีความเป็นไปได้ ซึ่งก็ต้องดูโครงสร้างของผู้ถือหุ้นประกอบกันด้วย โดยผู้ถือหุ้นของ TIDC ที่เป็นคนไทยในสัดส่วน 51% ว่าเป็นบุคคลที่มีส่วนร่วมในการก่อตั้งบริษัท BIC เช่นกัน และบริษัท CAI ก็มีความเกี่ยวข้อง.
