เปลว สีเงิน
วันนี้ คุย“นอกเรื่อง-นอกโลก”กันซักวันนะ
สืบเนื่องจากภาพฮือฮากันเมื่อ ๓-๔ วันก่อน เรื่องก็เป็นตามข้อความนี้
…………………………………..
“ภูเขาสีทอง” จ.กาญจนบุรี
ปรากฏการณ์ประหลาด ที่ “ยอดเขาแหลม” อ.ทองผาภูมิ (ถ่ายวันที่ 5 พฤศจิกายน 2568) ยอดภูเขากลายเป็นสีทอง นานถึง 5 นาที ก่อนจะกลับสู่สภาพเดิม
……………………………………….
ผมดูในโซเชียลออนไลน์ ก็พลันนึกถึง “หลวงพ่อฤาษีลิงดำ” (พระราชพรหมยาน) วัดท่าซุง อุทัยธานี
เคยดูคลิปที่ท่านเล่าให้ญาติโยมฟัง เมื่อปี ๒๕๓๒ เรื่อง “ทรัพย์ใต้ดินเมืองกาญจนบุรี”
พอมาประจวบกับภาพ “ภูเขาสีทอง” ก็อยากนำคำหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ที่ท่านเล่าไว้เมื่อ ๓๖ ปีที่แล้วมาให้อ่านกัน
ค่อนข้างยาว เพื่อเหมาะสมกับพื้นที่ กราบขออนุญาตเลยไปถึงตอนหลวงพ่ออาพาธ และเรื่องราวก็ปรากฎตามที่หลวงพ่อเล่าให้ญาติโยมฟัง ดังต่อไปนี้
……………………………………….
“ทรัพย์ใต้ดินเมืองกาญจนบุรี”
ในวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๓๒ สิ่งมหัศจรรย์ก็กิดขึ้น นั่นคือ มีรูปร่างของคน เป็นคนเนื้อเต็ม
อันดับแรก ขณะอาตมานอนตะแคงขวา ท่านนั่งอยู่ข้างหลัง เห็นสองมือพนม การเห็น…บรรดาท่านพุทธบริษัท ไม่ใช่ทิพยญาน ไม่ใช่ฌานสมาบัติ
ขณะนั้นสมาทานภาวนาเล็กน้อยพอจิตเป็นสุข การเห็นท่านก็เหมือนเห็นคนธรรมดา มีสภาพปกติ ไม่ใช่เงา
ก็สงสัย พลิกกายมานอนหงาย เจอหน้าท่านพอดี
ถามท่านว่า “ท่านเป็นใคร?”
ท่านบอก ผมคืออดีต “พระยากาญจนบดินทร์” แต่ว่าเวลานี้เป็นพรหม ลืมถามไปว่า ท่านเป็นพรหมชั้นไหน
จึงเรียนถามท่านว่า “ท่านเจ้าคุณ” คำว่าท่านเจ้าคุณ เขานิยมเรียกพระยาต่างๆ ว่า “ท่านเจ้าคุณ” ถามว่าท่านเจ้าคุณเป็นพระยาตั้งแต่สมัยไหน?
ท่านบอกว่า “ผมเป็นพระยาตั้งแต่สมัย “พระเจ้าสามพระยา” ท่านก็รายงานต่อไปว่า ผมเป็นลูกชายของ “พระยากาญจนบุรี”
ก็เลยถามไปว่า “พระยากาญจนบุรีเป็นพระยาสมัยไหน” ท่านก็บอก “พระยากาญจนบุรี เป็นนักรบ นักรัก นักแสวงหาโชคลาภ”
คือพระยากาญจนบุรีนี่ เป็นนายทหารสมัย “พระเจ้าอินทรราชา” พ่อพระเจ้าสามพระยา รับราชการตั้งแต่ตอนนั้นมา
บรรดาศักดิ์ครั้งสุดท้าย หลังจากเป็นพระยาอื่นในนามนักรบมาแล้ว ก็เป็น “พระยากาญจนบุรี” ปกครองกาญจนบุรี
การที่ท่านพระยากาญจนบุรี ปกครองกาญจนบุรี นี่
๑.กาญจนบุรีเป็นชายแดน ประการที่ ๒ ทางราชการในสมัยนั้น ถือว่าเมืองกาญจนบุรีเป็นแหล่งสำคัญในการหาโชคลาภและทรัพย์สิน
ท่านพระยากาญจนบุรีนี่ ท่านแสวงหาโชคลาภ คือหาทอง ท่านเจ้าคุณกาญจนบดินทร์เล่าให้ฟังว่า คุณพ่อชอบหาทอง หาทรัพย์สินส่งราชการ
เพราะเวลานั้น ทางราชการต้องใช้ทรัพย์สินมาก จำต้องหาทรัพย์สินใต้ดินกัน
ก็ลืมบอกไป บรรดาท่านพุทธบริษัท ว่าเรื่องนี้ เป็นไข้เรื่องว่า “ทรัพย์สินใต้ดินเมืองกาญจนบุรี”
ก็เลยถามท่านเจ้าคุณกาญจนบดินทร์ว่า การหาทรัพย์สินเวลานั้น ท่านหาที่ไหนบ้าง ท่านบอกว่า ในฐานะผมเป็นลูกชายคนที่สองของพระยากาญจนบุรี
ได้ร่วมทำการหากับพ่อ ทางราชการมอบหมายให้หาแร่ทองกับแร่เงินส่งทางราชการ
ถามท่านว่า ทางราชการมีกำหนดมั้ยว่าเดือนต้องส่งเท่าไหร่ ท่านตอบ “เมืองกาญจนบุรีไม่ใช่เมืองเสียส่วย” จึงไม่กำหนด
กำหนดแต่ว่า ได้เท่าไหร่ ซื้อหมด จึงถามว่า “การซื้อทองทางราชการเวลานั้นราคาเท่าไร?”
ท่านบอก ถ้าเป็นทองบริสุทธิ์จริงๆ ไม่มีสิ่งเจือปน ทองหนักบาทต่อ ๙ บาท เรียกว่า “ทองเนื้อเก้า”
ถ้ามีสิ่งเจือปนเล็กน้อย เรียก “ทองเนื้อแปด” ราคาบาทละ ๘ บาท ถ้าสิ่งเจือปนมากนิดหน่อย ก็ให้บาทละ ๖ บาท เรียก “ทองเนื้อหก”
ท่านบอกว่า การรู้เรื่องเงินและทองในพื้นที่ แต่การรู้เรื่องแร่ รู้เรื่องวิชา ถามว่ามีมั้ย ท่านว่ามีทุกอย่าง แต่ของบางอย่างสมัยนั้น ไม่เหมาะกับคนไทย
คนไทยยังไม่มีเครื่องไม้-เครื่องมือ ยังไม่มีความรู้เรื่องการถลุงแร่ประเภทนั้น ท่านบอก วิชาความรู้เรียนจากพ่อ ถามว่า พ่อของท่านเรียนมาจากใคร?
ท่านตอบว่า “พ่อของท่านเรียนมาจากอาจารย์คง”
“อาจารย์คงอยู่วัดไหน” ท่านบอก อาจารย์คงเป็นพระลูกวัด “วัดป่าเลไลย์” เมืองจังหวัดสุพรรณบุรี
วัดป่าเลไลย์ มีอาจารย์เก่งๆ อยู่ ๓ ท่าน โดยเฉพาะอาจารย์คง เก่งทางด้านนี้มาก
ถามท่านว่า วิธีดูพื้นดินทำยังไง การหาทองใช้วิธีอะไรบ้าง ท่านบอกว่า ๑.ดูดิน ลักษณะของดินว่าจะมีแร่ประเภทใดอยู่ ไม่ใช่เฉพาะทอง
คือว่า ดินอย่างนี้ ต้องมีอย่างนั้น เวลาที่จะดูดิน ก็ต้องขุดลงไปสักประมาณ ๑ คืบก่อน
พอถึงดินเนื้อแท้ของพื้นที่จริงๆ เมื่อถึงดินแข็ง ก็นำขึ้นมาดู ก็พิสูจน์กันว่า ถ้าดินอย่างนี้จะมีทอง ลักษณะอย่างนี้ จะมีแร่เงินธรรมชาติ แร่ทองธรรมชาติ
อันนี้ ไม่ใช่ของยาก ถ้ารู้ปริมาณ รู้กำลังดิน ก็จะทราบว่าความลึกของแร่ต่างๆ จะอยู่ขนาดไหน นี่เป็นวิชาการของโบราณ ซึ่งยังไม่ได้เรียนจากฝรั่ง
ต่อมาก็อีกวิธีหนึ่ง “อาจารย์คง” ก็สอนเหมือนกัน ใช้วิธี “หลับตาดู” เรื่องนี้เรื่องใหญ่ นี่ก็แปลก
ถ้าหลับตาดู ใช้กำลังใจถาม อย่างนี้จะเห็น แร่เงิน แร่ทอง แร่ต่างๆ ใต้พื้นดิน ใต้ภูเขาทั้งหมด
จะรู้กำหนดว่า มีสีสันวรรณะเป็นยังไง ตื้นลึกหนาบางเป็นยังไง จะใช้อะไรได้บ้าง รู้หมด
แต่ว่าวิธที่ ๑ และวิธีที่ ๒ นี่ก็ใช้กันตามปกติ แต่ยังไม่แน่ใจ เขายังไม่นิยมกันนัก ใช้แล้วก็ต้องใช้วิธีที่ ๓
ถามว่า วิธีที่ ๓ คือวิธีแบบไหน ท่านตอบว่า ต้องถาม “ผีพรายประจำท้องถิ่น” จะบอกได้ตรงไป-ตรงมาทั้งหมด
ฉะนั้น ในเรื่องโบราณต่างๆ ที่ว่ามีการพบผีพราย คุยกับผีพราย จึงถามได้ว่า ในเวลานี้ คำว่าผีพรายหมดไปแล้ว ไม่มีใครนิยมเรียกกัน
อยากจะถามว่าในสมัยปัจจุบัน คำว่าผีพรายหมายถึงอะไร
ท่านก็ตอบว่า ผีพรายประจำถิ่นนั้น เรียกว่า “ภุมมะเทวดา” จะว่ากันไปก็คือ “พระภูมิเจ้าที่” นั่นเอง
ภูมิเจ้าที่ย่อมรักษาถิ่นจำกัด ที่นี้-ถึงที่โน้น, จากที่นั้น-ถึงที่โน้น รวมความว่า ภายในเขตของท่าน มีทรัพย์สินอะไรบ้าง อยู่ที่ไหน มีปริมาณเท่าไร ขุดลึกเท่าไร ถึงดินชั้นไหน มีสีสันวรรณะเป็นอย่างไร จึงจะพบทองและเงิน
ผีพรายประจำถิ่นหรือภุมมะเทวดาต้องบอกชัด เวลาท่านบอกจริงๆ จะมีสภาพศีล ด้วยอำนาจเทวานุภาพ เห็นชัดในแผ่นดิน ไม่มีบัง วิธีที่ ๓ นี้ เป็นที่นิยมกันมาก
ถามต่อไปว่า “ถ้าจะขุด จะอนุญาตไหม?”
บางจุดท่านก็อนุญาต บางจุดไม่อนุญาต เพราะว่ายังไม่ถึงวาระ ต้องถึงกาลเวลาอันควร แต่ทั้งนี้ ก็ต้องยอมรับนับถือเทวดา
เพราะได้ทดลองมาแล้ว จุดใด ที่มองเห็นชัดตามหลักวิธีการ ๓ รายการนี่ เห็นหมด แต่ทีนี้ปรากฎว่า ขุดแล้วไม่ได้ ขุดลึกเท่าไหร่ก็ไม่ได้ เพราะอำนาจเทวานุภาพ
เพราะฉะนั้น กล่าวว่า ถ้าที่ใดท่านอนุญาตให้ จะขุดได้ง่ายๆ และก็ขุดไม่ลึก การหาแร่เงิน แร่ทอง สมัยนั้น หาแค่ๆ ผิวดิน
ลึกลงไปมากเท่าไร ก็ได้มากขึ้น ปริมาณทองก็สูง ปริมาณเงินก็สูง
ถามท่านว่า แร่เงินกับแร่ทองอยู่รวมกันมั้ย ท่านบอกว่าไม่ได้รวมกัน มันต้องคนละแห่ง ที่ของใคร ก็ที่ของใคร ภุมมะเทวดาจะชี้ที่ให้
ก็เลยคิดว่า เวลานี้ การหาเงิน-หาทองก็เป็นของดี อยากจะถามท่านว่าวิธีจะติดต่อกับภุมมะเทวดาหรือผีพรายประจำท้องถิ่นต้องมีเครื่องสังเวยมั้ย?
ท่านบอกว่า “เป็นของธรรมดา ต้องมีเครื่องสังเวย”
“เครื่องสังเวยจะต้องใช้เป็นอะไร” ท่านก็ยิ้ม ท่านบอกว่า “หลักวิชานี้ ไม่มีใครเขาบอกกัน”
“เวลานี้ท่านเป็นพรหม น่าจะบอกได้” ท่านว่า “ยิ่งเป็นพรหมยิ่งหนัก ต้องรักษาระเบียบ”
ถามท่าน เวลานี้ ถึงการสมควร ประเทศชาติต้องการทรัพย์สินมาก ชาติต้องการแร่เงิน แร่ทอง แร่อย่างอื่น จะหาได้มั้ยในเขตกาญจนบุรี?
ท่านยิ้ม และก็ตอบว่า “ในเขตกาญจนบุรี…มี ถ้าว่ากันจริงๆ นะ เนื้อที่ ๙๐% ของกาญจนบุรี เป็นทองและเงิน และแร่ต่างๆ ที่มีค่าสูงมาก”
ท่านพูดต่อมาอีกนิดหนึ่ง ในฐานะที่ผมก็เคยเป็นทหาร เคยรักษาเขตประเทศชาติมาแล้ว เอาชีวิตและเลือดเนื้อเข้าแลกเพื่อความคงอยู่ของชาติ
ก็อยากจะเตือนพี่น้องชาวไทยทั้งหมดว่า “จังหวัดกาญจนบุรีนี้อย่าให้ตกไปอยู่ในมือของใคร” เพราะเป็นแหล่งทรัพย์สินต่างๆ มากมาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “แห่งเดียวในเมืองไทย” คือกาญจนบุรี
ถ้ากาลเวลาถึง คำว่ากาลเวลาถึง หมายถึงว่า บุคคลผู้มีปฎิปทาอันสมควรที่พึงได้ทรัพย์สินเหล่านั้นขึ้นมา
ถ้านำขึ้นมา เฉพาะในเขตจังหวัดเดียว ประเทศไทยจะเป็นมหาเศรษฐีของโลก!!!
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มี “ภูเขาลูกหนึ่ง” ท่านไม่บอกชื่อ ไม่บอกสถานที่ สูงตระหง่านกว่าเขาลูกอื่นทั้งหมด โดดเดี่ยวขึ้นไป และก็มีเทือกเขาทั้งซ้ายและขวา หันหน้าไปทางทิศตะวันออก
จากเขาลูกนั้นมา เป็นเทือกเขาข้างซ้ายที่จะเป็นคันกั้นน้ำ เขาลูกนี้ มีแร่ธาตุวิเศษจริงๆ ทางด้านซ้ายมือ ไหลขึ้นไปทางเหนือ
ไม่ใช่แร่เงินและแร่ทอง แต่เป็นแร่หลายอย่างในพื้นที่นั้น แล้วแร่ประเภทนี้ สามารถจะนำมาผสมกัน เป็น “เงินคงคลังของชาติ” ได้เป็นอย่างดี และมีปริมาณมากมหาศาล
ถ้าได้ขุดเจาะจริงๆ ถ้าได้แร่นี้ขึ้นมา ต่อไปนักวิทยาศาสตร์ของไทยจะเก่งกล้าขึ้น สามารถทำได้หลายๆ อย่างที่เราคาดคิดไม่ถึง แม้แต่การใช้รังสีต่างๆ ก็ทำได้เยอะ
เรื่องเหล่านั้น คนถามไม่สนใจ สนใจอย่างเดียวว่า สามารถจะนำเป็นเงินคงคลังแท่ง เงินแท่งคงคลัง ก็ถามว่า เงินแท่งคงคลังหมายถึงอะไร?
ท่านยิ้ม บอกว่า“ทองคำ” เอาขึ้นมาผสมกัน แร่ในนั้นมีครบถ้วน ให้ผสมตามสูตร ต่อไปนักวิทยาศาสตร์จะทำได้
แต่ว่าเวลานี้ ยังทำไม่ค่อยจะได้ กาลเวลายังไม่สมควร นักวิทยาศาสตร์ทำได้
และในถ้ำนั่นแหละ มีแร่อยู่ มันจะไหลขึ้นไป มีจุดหนึ่งเป็นธารน้ำไหล น้ำนั้นใส กระแสน้ำนี้ ยังไม่ปรากฎต่อสายตาภายนอก
จะไหลภายในเขา จะไหลเป็นน้ำซับซึมๆออกมา ตักเทาไหร่ไม่หมด ขออย่างเดียว อย่าทำลายต้นน้ำลำธาร
ต้นน้ำลำธารอยู่ในสายพม่า แต่ยังไม่ถึงพม่า ตรงจุดนั้นอย่าทำลาย
เมื่อได้แร่ทั้ง ๓ อย่าง นำมาผสมกันแล้ว ท่านใช้คำว่า “ผสมกันแล้ว” และใช้น้ำอันนี้ช่วย ทั้ง ๓ อย่างนั้น จะกลายเป็น “ทองคำ ๑๐๐%” เนื้อจะอ่อน ไม่ผิดจากทองคำทั้งหลาย-ทั้งหมด
ถามว่า แร่ทั้งหมดนี้ ถ้านำมาใช้จริงๆ ซักกี่สิบปีจึงจะหมด?
ท่านบอกว่า นำขึ้นมาใช้จริง ๑,๐๐๐ ปี หมดรอบนี้แล้ว ก็ยังมีเป็นธรรมชาติของมัน เกิดขึ้นเรื่อยๆ เวลานี้ มีหลายชั้น นอกจากอยู่ในเขา ยังยาวลงไปถึงใต้ดิน แยะมาก
ท่านย้ำว่า “จงอย่าลืม นอกจากนำแร่นี้มาทำเป็นทองคำแล้ว ประโยชน์จากแร่อื่นๆ บริเวณนี้ มีปริมาณมากมายเหลือเกิน
พูดอย่างคร่าวๆ ปริมาณของแร่ ส่วนหนึ่งจะทำเหล็กเหนียว เหล็กแข็งได้ดี อีกส่วนของแร่ จะใช้รังสีได้อย่างวิเศษ อีกส่วนหนึ่ง จะทำอะไรก็ได้ ผมประมาณไม่ไหว เป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์
แต่ว่าผมเอง มีนามว่า “พระยากาญบดินทร์” เป็นผู้ค้นคว้าการมาของแหล่งทองคำ จึงสนใจเฉพาะทองคำ ถามท่านว่า สมัยของท่าน เคยนำแร่นี้ขึ้นมาใช้มั้ย
ท่านบอกว่า บางส่วนนำมาครับ แต่ไม่ได้นำมาจากเขา ถามท่านว่า พื้นที่เชิงเขาและที่ราบจะมีมั้ย บอกว่ามี
ถามว่า “ที่ตรงไหน” ท่านก็ชี้จุดให้ เอาไม้ไปปักให้ดู เป็นสัญลักษณ์ ถ้าไม้อย่างนี้ปริมาณมาก อย่างนี้ปริมาณน้อย
ทั้งนี้ ต้องใช้วิธีการบวงสรวง
ถามว่า “จะขอพิธีกรรมได้มั้ย” ท่านบอก พิธีกรรมเป็นของไม่ยาก แต่ว่าสมาธิที่ทำใจใสซี
ก็ถามท่าน “สมาธิทำใจใส” สามารถเห็นผี เห็นเทวดาได้ จะเรียนจากใคร?
ท่านบอก “เรียนจากอาจารย์คง” วิชาเฉพาะของท่านจริงๆ ก็คือสมาธิธรรมดา แต่ว่ามีบทคาถาเป็นบทภาวนาเชิญเทวดา จะได้เชิญภูติผีพรายประจำถิ่น
“การบวงสรวงเชิญเทวดามายากมั้ย?
ท่านบอก “จิตใจของพวกกระผมก็ดี คุณพ่อก็ดี คนสมัยก่อนก็ดี มีความเคารพในพระพุทธศาสนามาก ถือเทวดาและพรหมมาก
อัญเชิญจึงเป็นของไม่ยาก เริ่มพิธีบวงสรวงปั๊บ ก็จะเห็นภุมมะเทวดามายืนเรียงราย ท่านจะประกาศชื่อท่าน ประกาศเขตที่ท่านอารักขา
จะประกาศทรัพย์สินเท่าที่มีทั้งหมด เวลาที่ท่านประกาศ ภาพทั้งหมดจะปรากฎชัด ถามในการอนุญาตหรือไม่อนุญาต ท่านจะบอกชัดด้วยความเมตตา
…………………………….
ครับ การเมืองให้เขาบ้ากันไป ส่วนเราไป “ขุดทอง” กันดีกว่า เนอะ!
เปลว สีเงิน
๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๘

