เปลว สีเงิน
เมื่อวาน….
ไปให้ “คุณหมอประเจษฎ์” ตรวจสภาพสังขารที่โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ ถ้าไม่ได้ท่าน ป่านนี้ผมเดี้ยงไปนานแล้ว!
ประมาณเที่ยงๆ ก่อนกลับ
ไปสักการะ “ศาลเจ้าพ่อท้าวหิรัญพนาสูร” เสร็จแล้วแวะตลาดอาหารเพื่อหาของกินที่เรียงรายอยู่ในละแวกนั้น
โอโฮ…พ่อเจ้าประคุณรุนช่อง
ทุกแผง ไม่ว่า ขายอาหาร ขายขนูกขนม ขายเสื้อผ้า สารพัดของกิน-ของใช้ที่ละลานตา
ร้อยละ ๙๙ ติดป้าย “คนละครึ่ง” พรึ่บ!
ลูกค้ามาประเดิม “คนละครึ่ง” วันแรกกันอุ่นหนาฝาคั่ง พ่อค้า-แม่ขาย หน้าบานเป็นจานดาวเทียม หยิบจับ สับ ตัก หั่น จนมือพันกันเป็นหนวดปลาหมึก
ผมมันขาประจำ “คนละครึ่ง” อยู่แล้ว ตั้งแต่สมัยลุงตู่ “รัฐบาลอนุทิน” นำนโยบายมาสานต่อ และประกาศเปิดให้ใช้เมื่อวานเป็นแรก
จึงประเดิมซะเลย!
ใช้ “คนละครึ่ง” ซื้อกับข้าว-กับปลา กลับมากินที่ทำงาน แม่ค้าบอก ๒๒๐ บาท ก็สแกนจ่ายไป ๒๒๐ บาท
ด้วยระบบ “วัดครึ่ง-กรรมการครึ่ง” ของราคา ๒๒๐ แต่ผมจ่ายแค่ ๑๑๐ บาทเท่านั้นเอง
ส่วนที่เหลืออีกครึ่ง “รัฐบาลช่วยจ่าย” แทน!
ก็นึกดีใจ แต่…นึกไป-นึกมา
“เอ…รัฐบาลใจดี ช่วยจ่าย ๑๑๐ บาท หรือเป็นแทคติกรัฐบาล “ล้วงกระเป๋าผม” ไป ๑๑๐ บาท กันแน่หว่า”?!
เพราะถ้าไม่มี “คนละครึ่ง”
รัฐบาลก็ไม่ได้แอ้มเงิน ๑๑๐ บาทในกระเป๋าผมหรอก กลับไปหาอะไรเหลือๆ ในห้องอาหารที่สำนักงานกิน ก็อิ่มจัง แถมตังค์อยู่ครบ!
ก็ต้องชมรัฐบาลภูมิใจไทยและรัฐมนตรีคลัง “เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ” ที่จิตใจกว้างขวาง
สมกับเป็นผู้นำบริหาร ซึ่งต้องมีวิสัยทัศน์และจิตใจต้องไม่คับแคบ ที่กล้านำนโยบาย “คนละครึ่ง” กลับมาใช้
โดยไม่กลัวเสียหน้า….
ว่าอับจนปัญญา จนต้องไปเอานโยบายสมัย “รัฐบาลประยุทธ์” ที่ทำไว้ นำกลับมาใช้
นักการเมืองไทยส่วนใหญ่ พอได้เป็นรัฐบาล มักจะอีโก้แบบโง่ๆ นโยบายอะไรดีๆ ที่รัฐบาลก่อนๆทำไว้ แทนที่จะนำมาสานต่อ
กลับไม่เอา!
ดัดจริต กระมิดกระเมี้ยน แล้วเลียนแบบ “แบบเพี้ยนๆ” จนพัง
อย่างแจกคนละ ๑ หมื่น
ด้วยงบเป็นแสนๆ ล้านสมัยรัฐบาลเพื่อไทย
ผลที่ได้ เงินหายต๋อม เศรษฐกิจไม่กระดิกเลย!
ถ้าเอาเงิน ๕ แสนล้านตามโครงการมาทำ “คนละครึ่ง” ไม่ต้องมาก ซัก ๑ แสนล้าน ก็พอ
แล้วแสนล้านที่รัฐบาลจ่ายให้คนละครึ่งนั้น
มันจะไปจูงเงินในกระเป๋าชาวบ้านอีกครึ่ง คืออีก ๑ แสนล้านออกมาสมทบ รวมเป็น ๒ แสนล้าน
เมื่อเงิน ๒ แสนล้านนั้นทำงานในระบบ มันจะ “เป่าตูดเศรษฐกิจ” ที่สลบไสลให้ฟื้น และลุกขึ้นยืนบ้าง-วิ่งบ้าง ตั้งแต่เศรษฐกิจรากหญ้า ไปจนถึงยอดยาง
เท่าที่ผมดูเมื่อวาน “คนละครึ่ง” คนขายชอบใจ-คนจ่ายยินดี เรียกว่าแฮปปี้ด้วยกันทุกฝ่าย
กว่า ”๖ แสนร้านค้า” ที่เข้าระบบ “คนละครึ่ง” แสดงว่า เป็นนโยบาย “ตรงกลางใจ” ทั้งผู้ซื้อ-ผู้ขาย ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ผลจริง
รัฐบาลใช้เงินน้อย แต่ผลตอบแทนกลับได้มากกว่า!
“คนละครึ่ง” คือระบบ “เงินดูดเงิน” ให้มาทำงาน เป่าตูดเศรษฐกิจให้กระดิกกระเดี้ย
อย่างครั้งนี้ รัฐจ่ายครึ่งหนึ่ง คือ ๒๕,๐๐๐ ล้านบาท
แล้ว ๒๕,๐๐๐ ล้านนั้น….
ก็ไปดูดเงินชาวบ้านได้มาอีกครึ่ง คือ ๒๕,๐๐๐ ล้าน รวมเป็น ๕๐,๐๐๐ ล้านบาท เป็นพายุหมุน กระชากเศรษฐกิจให้ GDP โต
ขี้หมู-ขี้หมาก็ซัก ๐.๑ หรือ ๐.๒% เป็นที่หวังได้!
และ ๕๐,๐๐๐ ล้านนั้น นอกจากช่วยให้เศรษฐกิจชาวบ้านและอุตสาหกรรมการผลิต มีชิวิต-ชีวาแล้ว ก็ไม่ได้ละลายหายไปไหน
ทั้ง ๕๐,๐๐๐ ล้านนั้น ทำงานในระบบแล้ว ก็หมุนกลับเข้าคลัง แถมจูงนางเข้าห้อง เป็นเงินชาวบ้านอีก ๒๕,๐๐๐ ล้านรัฐบาลกำไรเท่าตัว
เรียกว่านโยบายนี้ ไม่มีขาดทุน มีแต่ “กำไรมาก-กำไรน้อย”!
ในฐานะที่แฟนๆ นินทา ว่าผม “อวยนายกฯ อนุทิน” ทุกวัน อยากจะอ้วก ดังนั้น วันนี้ขออวยให้ท่านอ้วกต่อ
บ้านเมืองตามภาวะที่เห็นปัจุบันนี้ ถ้าให้ “รัฐบาลเสียงข้างมาก” บริหารอยู่ละก็
แค่คิดก็ยังสยอง!
แต่นับว่าฟ้าดินบันดาลให้มี “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” เข้ามาขัดตาทัพ ตาม MOA ว่า ๔ เดือน
นับแต่วินาทีแรกที่ “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” เข้ามาบริหารประเทศ โดย “นายอนุทิน ชาญวีรกูล” เป็นนายกฯ
จะเห็นว่า ทั้งปัญหาค้างคาเก่าให้สะสางและทั้งปัญหาใหม่ให้พลิกแพลงในทางแก้ไข ถาโถมเข้ามา ทั้งมาก หนัก รุนแรง ท้าทาย
แต่นายกฯ อนุทินรับมือได้ทั้งในเวทีไทยและเวทีโลก ชนิดไม่ทำให้คนไทยต้องขายหน้า!
เป็นรัฐบาลเดือนเดียว ทำงานเป็นเนื้อ-เป็นหนังกว่ารัฐบาล ๒ ปี หรือ ๔ ปีบางรัฐบาล
ผมจึงไม่แปลกใจ อะไรๆ ที่รัฐบาลก่อนๆ ทั้งทำและไม่ทำ ประชาชนก็ว่าดีทั้งนั้น
แต่วันนี้ ทั้งปัญหาภายในและภายนอก ไม่ว่านายกฯ อนุทินทำอะไร มีแต่เสียงว่าไม่ดีทั้งนั้น
ทั้งตามบด-ตามขยี้ ถึงขั้น “รุมถล่ม” หวังให้จมธรณี ไปวันนี้-พรุ่งนี้ กะให้ไม่ต้อง “ไปผุด-ไปเกิด” กันเลย
ในการเลือกตั้งใหม่ ที่คิดกันว่า “ปีหน้า” ต้องมีแน่!?
แต่ในลางสังหรณ์ของผม “สังหรณ์” นะครับ ไม่ใช่ “หอน”
จะมีปัจจัยบางประการเป็นเงื่อนไขที่บ้านเมืองต้องมี “รัฐบาลอำนาจเต็ม” อยู่บริหาร ที่ต้อง “ไม่ใช่รัฐบาลรักษาการ” จะทำหน้าที่ได้!
ไปทำ “ปฎิญญาสันติภาพ” กับเขมร ก็ถูกถล่มด่า ว่าทำเสียดินแดน มีอะไรลับๆ กับฮุน
ไปทำ MOU กับสหรัฐฯเ รื่องแร่แรร์เอิร์ธ ว่าไปยกทรัพยากรของชาติให้สหรัฐฯ แถมจะทำให้จีนไม่พอใจไทย
เรียกว่าสารพัดเรื่อง อะไรที่รัฐบาลนี้ทำ ผิดทั้งนั้น ขายชาติทั้งนั้น ไปยอมให้ฮุนเซนทั้งนั้น ต้องเสียดินแดนทั้งนั้น
ผมก็สงสัย นายกฯ อนุทิน ที่มีนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ
มีนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ เป็นรัฐมนตรีคลัง
และมีนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ เป็นรัฐมนตรีพาณิชย์
ทั้ง ๓ คน เรียกว่าระดับเซียนในงานต่างประเทศ ในงานการคลัง และในงานการค้า
แล้วเขายอมทำงานให้ “คนโง่” อย่างนายกฯ อนุทินได้อย่างไร?
และปล่อยให้นายกฯ อนุทินเซ็นตกลงโน่น-นี่กับต่างประเทศได้อย่างไร?
โดยไม่ท้วงติง ถ้ามันผิด มันเสียเปรียบ มันทำให้ที่ตกลงนั้นเป็นการขายชาติ หรือทำให้เสียดินแดน อย่างที่พูดจากันขรมว่าที่อนุทินทำเลวทุกเรื่อง!?
มันเป็นจริงขนาดนั้นเชียวหรือ และอยากถามตรงๆ ว่า ได้อ่านรายละเอียดในข้อตกลงต่างๆ นั้น จนเข้าใจถ่องแท้กันแล้วหรือยัง?
ใช้เหตุ-ใช้ผล ใช้ข้อมูล ที่ศึกษาแล้วในเรื่องนั้นๆ ก่อนด่า ด่า และด่า หรือไม่สนใจ ใช้แค่ ความรู้สึก แค่นึกเอา-คิดเอา อะไรที่ไม่ตรงใจตัวเอง ก็ผิด-ก็เลว-ก็ไม่ใช่ไปทั้งนั้น เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า?
หรือในใจลึกๆ “อิจฉา” นายกฯ อนุทิน….
ทำหน้าที่นายกฯ ได้ดีเกินหน้า กลัวคนจะศรัทธา เลือกตั้งจะเฮโลเลือกกลับมาเป็นรัฐบาลอีก
ก็ “สหบาทา” กันซะเลย!?
เท่าที่ผมดูรายละอียดในปฏิญญากับเขมรก็ดี MOU กับทรัมป์ ก็ดี พิเคราะห์ตามสติปัญญาผม
มันไม่มีอะไรเสียเปรียบหรือเลวร้ายถึงขนาดอย่างที่พูดกัน จนชาวบ้านที่เสพสื่อ พลอยเชื่อ และวิตก-หวั่นไหว ตามไปด้วย
ส่วนใหญ่ ตั้งข้อสมมติ ประมาณว่า เห็นหางจิ้งจงในซอกตู้ ก็ตาหู-ตาแหกออกตะโกนว่า…..เฮ้ย..เฮ้ย จระเข้ขึ้นบ้านคาบลูกกูไปกินอยู่ในซอกตู้แน่ะโว้ย!
นี่ถ้าย้อนไปสมัยรัชกาลที่ ๕ ที่ให้สัมปทานรถไฟสายแรกในประเทศกับเดนมาร์ก วิ่งระหว่างกรุงเทพฯ-ปากน้ำ
วิจารณ์ชนวันนี้ จะว่าไง?
จะบอกว่า ทำไมเราไม่ทำเอง ไปยกประโยชน์ชาติให้เดนมาร์กทำไมอย่างนั้นมั้ย?
ถามตรงๆ สมัยนั้น เรามีปัญญาทำรถไฟได้เองมั้ย?
เมื่อวิทยาการเรายังไปไม่ถึง มันก็ต้องเรียนรู้จากเขา ถ่ายทอดวิชาความรู้ได้ชำนาญแล้ว เราก็ทำของเราเองทีหลัง
อย่าง “รถไฟความเร็วสูง” ไทย-จีน เรามีความรู้ มีเทคโนโลยีในการก่อสร้างมั้ยล่ะ?
ก็ไม่มี ก็ต้องยอมจีนเขา แลกกับการถ่ายทอดวิชาในการวางรางให้เรา จนตอนนี้ ไทยเราสามารถก่อสร้างรางรถไฟความเร็วสูงได้เองแล้ว
อย่างแร่แรร์เอิร์ธก็เหมือนกัน ไทยเรายังไม่มีปัญญาสร้างเหมือง สกัดแร่หายากได้ ก็ต้องยอมซื้อวิชาโดยให้เขามาร่วมสำรวจและลงทุน ซึ่งไม่ผูกขาดเฉพาะสหรัฐฯ
ทั้งไม่ใช่ “ให้สัมปทาน” อย่างที่ตะแบง-ตะแคงตูดพูดกัน!
ประเทศที่มากด้วยคนขี้อิจฉา เห็นใครทำดีเกินหน้าไม่ได้
บวกกับชาวบ้านที่ได้แต่ “คิดตาม-พูดตาม-ทำตาม” คิดเอง-พูดเอง-ทำเองไม่ได้ ไม่เป็น
การบริหารประเทศ ก็ไม่ต่าง “เข็นครกขึ้นภูเขา”
คนอาสาเข้ามาทำ ถูกด่าฟรี ให้เสียความรู้สึกอีกตะหาก
เพราะอย่างนี้ คนดีๆ มีความรู้ เขาจึงไม่อยากมาอยู่ในวงการเมือง
ดังนั้น “รัฐบาล-รัฐสภาไทย” เป็นที่อยู่-ที่หากินของคนประเภทไหน คงไม่ต้องให้ผมบอกกระมัง?!
เปลว สีเงิน
๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๘

