โรงสีข้าวพระราชทานท่าวังผา พระมหากรุณาธิคุณ กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สร้างรายได้เพิ่มเกษตรกรน่าน ชูระบบสหกรณ์บริหาร เร่งเพิ่มบุคลากร-ขยายตลาด
จากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่จังหวัดน่าน ในปี 2549 ส่งผลให้ผลผลิตทางการเกษตรในตำบลศรีภูมิ อำเภอท่าวังผา ได้รับความเสียหาย สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระราชดำริให้กองงานราชเลขาธิการมาตรวจเยี่ยมประชาชนในพื้นที่อำเภอท่าวังผา และเห็นว่าประชาชนประสบปัญหาและได้รับความเดือดร้อน
กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ จึงทรงรับสั่งให้จัดตั้งกองทุนข้าวขึ้น เพื่อส่งเสริมให้ชาวบ้านในพื้นที่หันมาปลูกข้าวเพื่อเป็นแหล่งอาหารให้ชุมชน ส่งเสริมเมล็ดพันธุ์ข้าว พระราชทานเงินในช่วงแรกเริ่ม เพื่อให้ชาวบ้านใช้เป็นทุนในการสร้างความมั่นคงของอำเภอท่าวังผา ให้เป็นอู่ข้าวอู่น้ำของคนในพื้นที่
จากเมล็ดพันธุ์ข้าว และเงินทุนพระราชทาน ชาวบ้านในพื้นที่ตำบลศรีภูมิ สามารถทำนาและคืนเมล็ดพันธุ์ข้าวได้ในปีต่อมา จึงทำให้เห็นศักยภาพของชาวบ้านในพื้นที่ และมีพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานเครื่องจักรโรงสีข้าวชุมชนสำหรับตั้งเป็นโรงสีข้าวพระราชทานท่าวังผา และทรงเสด็จมาเปิดด้วยพระองค์เอง เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2552
ก่อร่าง สร้างเสริม สู่โรงสีข้าวครบวงจร
เมื่อเกิดโรงสีข้าวพระราชทาน จึงเริ่มมีกิจกรรมต่าง ๆ ตามมา ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการ การสร้างอาชีพชาวบ้านในพื้นที่ และงานบริการของโรงสีฯ โดยทรงมอบหมายให้ กรมสงเสริมสหกรณ์ เป็นหน่วยงานแรกและหน่วยงานหลักในการพัฒนาโรงสีข้าวพระราชทานเพื่อให้การดำเนินงานของโรงสีข้าวฯ ดำเนินงานได้อย่างครบวงจรมากที่สุด ทั้งการส่งเสริมการผลิต การรวบรวมผลผลิต การทำตลาด จำหน่าย การบริการ และร้านค้าสวัสดิการ
นายธนพ นับแสง เจ้าพนักงานส่งเสริมสหกรณ์อาวุโส สำนักงานสหกรณ์จังหวัดน่าน เล่าว่า กรมส่งเสริมสหกรณ์ โดย สำนักงานสหกรณ์จังหวัดน่าน จึงเข้ามาช่วยบริหารจัดการ ด้วยการส่งเสริมการรวมกลุ่มดำเนินกิจกรรมในรูปแบบการบริหารและวิธีการแบบสหกรณ์ พร้อมทั้งนำหน่วยงานต่าง ๆ เข้ามาสนับสนุนด้านการอบรมให้ความรู้การผลิตข้าวปลอดภัย การสีข้าวให้ได้คุณภาพตามตลาดต้องการ และการพัฒนาระบบการผลิตโรงสีข้าวให้ได้มาตรฐาน พร้อมทั้งส่งเสริมสมาชิกผลิตข้าวอินทรีย์ในกลุ่มของข้าวเพื่อสุขภาพเพิ่มมากขึ้น
ปัจจุบัน โรงสีข้าวพระราชทานท่าวังผา มีผลผลิตข้าวไม่ต่ำกว่า 10 สายพันธุ์ อาทิ ข้าวก่ำ ข้าวเหนียว ข้าวหอมมะลิ 105 ข้าวแดง ข้าวหอมนิล ข้าวหอมทับทิมชุมแพ ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ฯลฯ ที่ดำเนินการครบวงจร ทั้งการรวบรวมผลผลิต การสีข้าว การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ การทำตลาดและจำหน่ายผ่านช่องทางตลาด ร้านค้าชุมชน ร้านโอทอป ร้านสะดวกซื้อในชุมชน สัดส่วน 60% ส่วนที่เหลือ 40% เป็นการจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ โดยมีรายได้ประมาณ 4 ล้านบาทต่อปี จากการจำหน่ายข้าว บริการรับสีข้าว ร้านกาแฟ และการจำหน่ายปัจจัยการผลิต
อนุรักษ์ แปรรูป เพิ่มมูลค่า “ข้าวก่ำ” สินค้าอัตลักษณ์ของท้องถิ่น
ส่วนที่ดำเนินการต่อมาคือ การอนุรักษ์พันธุ์ข้าวในพื้นถิ่น หรือข้าวก่ำล้านนา ซึ่งเป็นพันธุ์ข้าวที่ได้รับการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ หรือ GI สำหรับ 7 จังหวัดภาคเหนือ รวมถึงจังหวัดน่าน ทำให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น
นายชาญณรงค์ ช่าวแหลง นักวิชาการมาตรฐานสินค้า สำนักงานสหกรณ์จังหวัดน่าน กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม เนื่องจากข้าวก่ำมีชาวนาปลูกน้อยลง จากราคา กรรมวิธี ความปลอดภัยในการผลิต พระองค์จึงทรงมีพระราชดำริให้กรมสงเสริมสหกรณ์ เข้ามามีบทบาทในการร่วมสร้างข้าวก่ำให้เป็นสินค้าอัตลักษณ์ของท้องถิ่น อันเป็นการช่วยเพิ่มมูลค่าสินค้าข้าวก่ำของจังหวัดให้จำหน่ายได้ในราคาสูงขึ้น และช่วยเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร รวมถึงการจำหน่ายให้โรงสีข้าวพระราชทาน เพื่อให้เป็นแหล่งกักเก็บและสร้างมูลค่าเพิ่มข้าวก่ำได้อีกทางหนึ่ง
นี่จึงเป็นที่มาของการกำเนิด ข้าวก่ำโรงสีพระราชทานท่าวังผา ที่มีการแปรรูปจากข้าวเปลือกมาเป็นข้าวสารบรรจุถุงสุญญากาศ ภายใต้มาตรฐานการผลิตข้าวเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วม ซึ่งช่วยเพิ่มมูลค่าสินค้า ซึ่งจนถึงขณะนี้ ได้ดำเนินการแล้วกว่า 3 ปี
นอกจากนี้ ยังได้นำระบบสหกรณ์ มาปรับใช้ในการบริหารงาน เพื่อช่วยพยุงราคาข้าวด้วยหลักการราคานำตลาด ด้วยการกำหนดราคารับซื้อในราคายุติธรรม และหากราคาในตลาดต่ำ โรงสีจะรับซื้อข้าวสูงกว่าราคาตลาด
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าปัจจุบันข้าวก่ำประสบปัญหาหลายด้าน ส่งผลให้ยอดขายลดลงจากเดิมที่เคยสูงถึงปีละหลักแสนบาท ลดเหลือ 7 – 8 หมื่นบาท เนื่องจากเป็นตลาดเฉพาะจับกลุ่มคนรักสุขภาพ แต่มีแข่งขันรุนแรงมาก ทำให้แข่งขันได้ยาก
นอกจากนี้ ยังมีแผนขยายตลาดในวงกว้างมากขึ้น แต่ปัจจุบันยังประสบปัญหาบุคลากรที่มีความชำนาญด้านการตลาดไม่เพียงพอ รวมถึงขาดงบประมาณสนับสนุนในการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ประกอบกับพื้นที่ในการผลิตข้าวลดลงเนื่องจากราคาข้าวผันผวน ส่งผลให้เกษตรกรส่วนหนึ่งหันไปใช้พื้นที่เพาะปลูกพืชอย่างอื่นแทน
จากสถานการณ์ดังกล่าว สำนักงานสหกรณ์จังหวัดน่าน ได้เตรียมวางแผนช่วยเหลือฟื้นฟูข้าวก่ำน่าน เพื่อรักษาข้าวอัตลักษณ์ท้องถิ่นไม่ให้สูญหายไป ด้วยการถ่ายทอดองค์ความรู้ในการพัฒนาเพิ่มรายได้ เช่น การแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่ม อาทิ การนำไปทำข้าวหลาม คุกกี้ แป้งสำหรับทำขนม เป็นต้น โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานต่าง ๆ ในจังหวัดเข้ามาบูรณาการทำงานร่วมกัน และสิ่งสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการคือ การพัฒนาขยายตลาดในวงกว้างต่อไป