ผักกาดหอม
ลุ้นกันมาหลายปีครับ
วานนี้ (๑๙ กันยายน) ศาลฎีกานัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาคดีแกนนำม็อบพันธมิตรฯ บุก ทีวีช่อง ๑๑ NBT ตั้งแต่ปี ๒๕๕๑ โน้นแหละครับ
เดิมจำเลยมี ๕ คน “สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์” มาเสียชีวิตเมื่อปี ๒๕๖๔
จำเลยคดีจึงเหลือเพียง ๔ คน
อัญชะลี ไพรีรัก
ภูวดล ทรงประเสริฐ
ยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที
ชิติพัทธ์ ลิ้มทองกุล
ทั้งหมดนี้ถูกฟ้องฐาน ร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ ๑๐ คนขึ้นไป อั้งยี่ ซ่องโจร เป็นหัวหน้าสั่งการ บุกรุกสถานที่ราชการทำให้เสียทรัพย์
ทั้ง ๔ คนก็ทำใจกันพอควรครับ เพราะศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ พิพากษาจำคุก คนละ ๑ ปี ไม่รอลงอาญา
ถ้าศาลฎีกาพิพากษายืน ก็โน้นแหละครับไปกินข้าวผัดโอเลี้ยงในคุก
เป็นเพื่อนร่วมรุ่น “ทักษิณ”
คำพิพากษาออกมาช่วงบ่ายแก่ๆ
ยกฟ้องจำเลยที่ ๑-๓
เหตุเพราะพยานโจทก์ และพยานหลักฐานอื่นๆ มีน้ำหนักน้อย ยังมีข้อสงสัยว่า จำเลยทั้งสามเดินทางไปสถานีวิทยุโทรทัศน์ NBT ในเวลาใด รวมทั้งไม่มีพยานหลักฐานมาสนับสนุนว่า จำเลยที่ ๑-๓ ให้คำปรึกษา คำแนะนำ หรือสั่งการกับกลุ่มมวลชนกลุ่มพันธมิตรฯ หรือไม่ พยานหลักฐานโจทก์ยังมีข้อสงสัยตามสมควร
จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยที่ ๑-๓
ส่วนจำเลยที่ ๔ ชิติพัทธ์ ลิ้มทองกุล น้องชาย สนธิ ลิ้มทองกุล ศาลสั่งจำคุก ๘ เดือน ลดเหลือ ๖ เดือน ไม่รอลงอาญา
เป็นคนเดียวที่ยังคงถูกลงโทษจำคุกเหมือนศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์
เพราะพยานโจทก์เบิกความสอดคล้องต้องกัน เห็นว่า จำเลย เป็นผู้สั่งการมวลชนกลุ่มพันธมิตรฯ ทั้งข่มขู่เจ้าหน้าที่ให้เกิดความกลัวโดยนับถอยหลัง ๑-๖๐ ให้เจ้าหน้าที่หยุดปฏิบัติหน้าที่ การออกอากาศ ให้รีบออกจากอาคารที่ทำการ การทำลายประตูทางเข้า และทรัพย์สินอื่นเสียหายกว่า ๖ แสนบาท
และภาพจำเลยที่ ๔ พูดโทรศัพท์ในบริเวณห้องโถงของอาคารมีน้ำหนัก ข้ออ้างจำเลยที่ ๔ ฟังไม่ขึ้น
ครับ…วันนี้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ทั้ง ๔ คนไม่ได้ทำเพื่อตัวเองแม้แต่น้อย
ทั้งหมดเป็นนักสู้ของประชาชน
วันเวลาได้ทำให้เห็นครับว่า คนกลุ่มนี้มิได้เข้าไปรับใช้การเมือง
ไม่มีตำแหน่งทางการเมือง
ผิดกับม็อบสีแดง
เห็นเป็นที่ประจักษ์ไปหลายปีแล้วว่า บรรดาแกนนำม็อบแสวงหาอำนาจทางการเมือง
ไปเป็น สส.พรรคเพื่อไทยก็หลายคน
เป็นรัฐมนตรีก็มี
ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ คือตัวอย่างของการทำม็อบเพื่อ ก้าวสู่อำนาจทางการเมือง
ผิดกับแกนนำม็อบพันธมิตรฯ ที่มีคดีติดตัวเป็นหางว่าว
อัญชะลี ไพรีรัก
ภูวดล ทรงประเสริฐ
ยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที
ชิติพัทธ์ ลิ้มทองกุล
ทุกคนอยู่ที่เดิม!
ไม่ได้โหยหาอำนาจทางการเมือง
แต่ก็น่าผิดหวังครับ ไม่ว่าผ่านมานานกี่ปีการเมืองไทยก็ยังย่ำอยู่กับที่ มิได้มีพัฒนาการไปในทางที่ดีขึ้นเลย
ระบอบทักษิณยังดิ้นเพื่อให้อยู่ในห่วงโซ่อำนาจต่อไป
น้องเขยไปแล้ว
น้องสาวยังหนีอยู่
ลูกสาวก็ไม่รอด
ร่ำๆ จะเอาลูกเขยมาขายอีก
ไหนบอกเป็นฝ่ายประชาธิปไตย
นี่มันพรรคหลงจู๊ บริหารแบบกงสีชัดๆ
ที่จริงก็ยังไม่ชัดหรอกครับว่า “ทักษิณ” จะเอาใครมา วันก่อนมีข่าวลือว่าไปจีบ “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” แล้วถูกปฏิเสธ แต่มันทำให้เห็นบรรยากาศของความพยายามต่อลมหายใจของระบอบทักษิณ
เลือกตั้งครั้งที่จะถึงอาจเป็นเดิมพันสุดท้ายของ “ทักษิณ” ฉะนั้นจึงต้องทุ่มทุกสรรพกำลัง ให้พรรคเพื่อไทยกลับเข้ามาอยู่ในเส้นทางของอำนาจให้ได้
มันก็ไม่ง่าย
นักการเมืองในพรรคนี้คิดไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่องเขาสักเท่าไหร่ ยิ่งเห็นชัดๆ ว่าใกล้เลือกตั้งก็ยิ่งต้องการความมั่นใจว่า “นายใหญ่” ยังสู้ต่อ
มันก็เป็นที่มาของคำถามที่ว่า ทำไมเบอร์ ๑ ของพรรคจะต้องเป็นคนในตระกูลชินวัตร
มันคือเครื่องการันตีว่า “นายใหญ่” ยังสู้อยู่
ครั้งนี้ก็เช่นกัน ถ้าเบอร์ ๑ ของพรรคเพื่อไทย ไม่ใช่คนตระกูลชินวัตร โอกาสผึ้งแตกรังมีสูง
ลำพัง “นายใหญ่” อยู่ในคุกบรรดามุ้งการเมืองในพรรคเพื่อไทยเลิ่กลั่กกันทุกวัน จะเอาไงต่อ!
ถ้า “นายหญิง” เงียบอีกคนก็จบข่าว
วันก่อน “นายหญิง” ถึงต้องไปส่งสัญญาณกับ สส.ในที่ประชุมพรรคเพื่อไทยด้วยตัวเอง
“สู้ๆ นะคะ”
สส.ตบมือกันเกรียว
แต่ถามว่าพอหรือเปล่า…ยังหรอกครับ จนกว่าจะชัดเจนว่า เบอร์ ๑ คนใหม่ของพรรคเป็นใคร
ถึงได้มีชื่อ “ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์” สามี พินทองทา ชินวัตร โผล่มา
จะชื่อจริงชื่อหลอกชื่อลวงมิทราบได้ แต่มันจะเป็นเครื่องการันตีอย่างที่บอก
ลอง “ทักษิณ” บอกว่า จากนี้ไปจะให้ “ภูมิธรรม จาตุรนต์ ชูศักดิ์” นำทัพ เชื่อเถอะครับ “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ”
“สมศักดิ์ เทพสุทิน” เก็บผ้าหนีตาม “เสี่ยหนู” แน่นอน
การเมืองวันนี้มันมีหลายชั้นครับ
ดูโฉมหน้า ครม. พอมองเห็นพรรคภูมิใจไทยในอนาคต
จะโตพรวดแบบไทยรักไทยในอดีต
ฉะนั้นอย่าไปสงสัยว่าทำไม “อนุทิน” ตั้งคณะรัฐมนตรีครบ ๓๖ คนตามรัฐธรรมนูญทั้งๆ ที่อายุรัฐบาลแค่ ๔ เดือนยุบสภา
รู้แต่ว่างานนี้ “ทักษิณ” นอกจากนอนไม่ดีในคุกแล้ว นอกคุกยังสาหัสกว่า
ความยิ่งใหญ่เป็นแค่อดีต.
